จากรายงานที่ปรากฏถึงความพ่ายแพ้ในหลายพื้นที่ของกองกำลังผสมยูเครน รวมทั้งท่าทีของพันธมิตรต่างๆที่บางประเทศยังคงสนับสนุนให้ชนะรัสเซีย ในขณะที่หลายประเทศก็หยุดส่งอาวุธให้แล้วนั้น
ทั้งนี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากสถานการณ์ของยูเครนซึ่งเว็บไซต์ TOP WAR ได้เผยแพร่ไว้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ซึ่งมีบางช่วงสำคัญว่า
ความขัดแย้งในยูเครนอาจมีหลายทางเลือกในการดำเนินต่อไป รวมถึงลุกลามไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์
โดยความน่าจะเป็นของตัวเลือกนี้ได้รับการวิเคราะห์โดยศูนย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งอเมริกา RAND Corporation ระบุว่า การสู้รบอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามต่อไป ไม่ว่าจะภายในยูเครนหรือการมีส่วนร่วมของประเทศอื่น และการขยายตัว ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้ที่รัสเซียสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ ฝ่ายบริหารของ Biden พิจารณาว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้และไม่ต้องการให้การพัฒนาดังกล่าว
ในเวลาเดียวกันในเคียฟมั่นใจว่ามอสโกจะไม่กล้าใช้อาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้พวกเขาไม่ใส่ใจกับสิ่งนี้ แต่ให้จัดหาอาวุธต้องห้ามเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามหากการใช้อาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะกว้างขวางและไม่จำกัดเนื่องจากต้นทุนและความเสี่ยงจะเท่ากันเมื่อใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีหรือทางยุทธศาสตร์
นอกจากนี้ เว็บไซต์ TOP WAR ยังเปิดเผยอีกว่า นายกรัฐมนตรีเอสโตเนีย ไคอา คัลลาส ได้พูดถึง ความจำเป็นที่ต้องเชื่อในชัยชนะของยูเครน
“เราต้องเชื่อในชัยชนะของยูเครน มิฉะนั้น สิ่งที่รัสเซียคาดหวังก็จะเกิดขึ้น รอยแตกจะปรากฏในความสามัคคีของเรา ในศรัทธาของเราในยูเครน ถ้าเราหยุดเชื่อ เราจะหยุดสนับสนุนยูเครน และนี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” นายกรัฐมนตรีเอสโตเนีย กล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเอสโตเนีย ยังกล่าวว่า เธอใช้ทั้งสองมือในการทำสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ไม่สนใจว่าชาวยูเครนอาจจะยุติการดำรงอยู่โดยสิ้นเชิง หากตะวันตกยังคงใช้มันเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องเชื่อในชัยชนะของยูเครน เพราะอาจมีสันติภาพ แต่จะไม่ยั่งยืน และจะไม่ยุติธรรม