อดีตนาวิกโยธินและซีไอเอฟันธงว่า ศึกยูเครนแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯยังไม่พร้อมสำหรับสงครามครั้งใหญ่กับรัสเซีย ขณะที่อาการของสหราชอาณาจักรเอาการเอางานที่จะลุยกับรัสเซียชัดเจนกว่า เยอรมนีและฝรั่งเศสด้วยซ้ำ
การเคลื่อนไหวล่าสุดในการโจมตีที่ทะเลดำ สื่ออังกฤษโหมกระพือว่าเป็นฝีมือของอังกฤษทั้งทีมผู้บัญชาการและเครื่องไม้เครื่องมือช่วยเคียฟ ได้คะแนนโฆษณาว่าโจมตีรัสเซียได้ แต่ไม่ได้เปลี่ยนสถานะการศึก ยังคงแพ้ยับซ้ำซากโดยรวม
วันที่ ๒๕ ก.ย.๒๕๖๖ สำนักข่าวมิลิทารี่โครนิเคิลและสปุ๊ตนิกรายงานว่าสก็อต ริตเตอร์(Scott Ritter) อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองนาวิกโยธินสหรัฐฯ และผู้ตรวจสอบอาวุธของ UN อธิบายว่าทำไมกองทัพสหรัฐฯ จึงไม่พร้อมสำหรับการทำสงครามเต็มรูปแบบกับรัสเซียโดยอิงจากความพยายามตอบโต้ของยูเครนที่ล้มเหลวหลายระลอก
ในการรุกตอบโต้ในปัจจุบันยูเครนได้จัดตั้งกองทหารจำนวน ๓ กองพัน ประมาณ ๒๐,๐๐๐ นายพร้อมด้วยกองทหารอีก ๙กอง ประมาณ ๓๗,๐๐๐ นาย ที่ได้รับการฝึกฝนและติดอาวุธโดย NATO ซึ่งทั้งหมดถูกกำหนดให้เข้าร่วมในการรุกหลัก ความพยายามโจมตีรอบๆ หมู่บ้าน Rabotino ทางตอนใต้ของZaporozhye กองกำลังเหล่านี้ได้รับการเสริมด้วยกองกำลังอาณาเขตเพิ่มเติมอีก ๔๐,๐๐๐ กองกำลังที่จัดตั้งขึ้นเรียกว่า “กลุ่มช็อก” ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้อย่างเต็มที่ ในบริเวณใกล้เคียงกับเมือง Artemovsk (Bakhmut) จำนวนทหารยูเครนทั้งหมดที่ระดมกำลังและฝึกฝนเพื่อการรุกโต้ตอบโดยเฉพาะมีไม่ถึง ๑๐๐,๐๐๐ นาย
ปัจจุบัน กองทัพสหรัฐฯ มีทหารประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ นายประจำการในยุโรป โดยประมาณ ๔๐,๐๐๐ นายถูกจัดเป็นหน่วยรบที่คาดว่าจะรับภาระหนักของการสู้รบ หากกองทหารเหล่านี้อยู่ภายใต้อัตราการบาดเจ็บล้มตายที่ใกล้เคียงกับอัตราที่ยูเครนได้รับในการรุกโต้ตอบ กองทัพสหรัฐฯ จะใช้อำนาจการรบหมดภายใน ๕๐ วันหากอัตราการเสียชีวิต ๑๐๐ % ตามหลักคำสอนของกองทัพสหรัฐฯ หากหน่วยมีความแข็งแกร่ง ๕๐ ถึง ๖๙ เปอร์เซ็นต์ การต่อสู้จะไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายความว่าจะไม่สามารถบรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อีกต่อไป ความจริงก็คือกองกำลังรบของสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้ระดับความรุนแรงที่ยูเครนได้รับจากน้ำมือของรัสเซีย จะกลายเป็นการสู้รบที่ไม่มีประสิทธิภาพหลังจากการสู้รบประมาณแค่ ๒ สัปดาห์
โดยส่วนใหญ่ด้วยความสามารถในการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของรัสเซียส่งผลให้สหรัฐฯ หูหนวก เป็นใบ้ และตาบอดเมื่อพูดถึงการจัดการกองกำลังรัสเซีย จุดอ่อนที่สำคัญคือโลจิสติกส์และเชื้อเพลิงสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์
ความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วของกองกำลังกองทัพสหรัฐฯ ในยุโรปจะดังก้องไปทั่วทั้ง NATO ส่งผลให้ขวัญกำลังใจลดลงอย่างรวดเร็วซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการล่มสลายของกองกำลังที่มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการรบกับรัสเซีย คำพูดของนายพล ของนาโต้ สะท้อนถึงความรุนแรงของการต่อสู้ภาคพื้นดินขนาดใหญ่สมัยใหม่ พูดง่ายๆ คือ ทั้งสหรัฐฯ และ NATO ไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการรบขนาดใหญ่กับคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันอย่างรัสเซีย
แต่กระนั้นดูเหมือนอังกฤษจะยังเชื่อว่าฝีมืออย่างสหราชอาณาจักรจะกำราบรัสเซียได้ ดูจากการเคลื่อนไหวล่าสุดในการโจมตีไครเมียและท่าเรือเซวาสโทปอล นั่นคืออวดอานุภาพอาวุธและฝีมือรบมุ่งไปที่ทะเลดำเป็นหลัก จับดาดูความเข้มข้นในการยุทธเหนือทะเลดำว่ารัสเซียจะเอาคืนแบบไหน ถ้าไม่มั่นใจคงไม่ประกาศท้าทายกลางดงตะวันตกที่UN เป็นแน่!!