ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ทางการเมืองในไนเจอร์เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม รัสเซียได้เรียกร้องให้มีการฟื้นฟูกฎหมายและความสงบเรียบร้อยในประเทศและยุติวิกฤตอย่างสันติเพื่อประโยชน์ของประชาชนในประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุในถ้อยแถลงล่าสุดว่า “การแก้ปัญหาทางทหารต่อวิกฤตในไนเจอร์อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคซาฮารา-ซาเฮลไม่มั่นคง”
กระทรวงยังกล่าวถึงความพยายามของประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตก (ECOWAS) ในการฟื้นฟูระเบียบตามรัฐธรรมนูญในไนเจอร์ควรต้องผ่านการเจรจากับผู้นำคนใหม่ของไนเจอร์ การใช้กำลังทหารบีบบังคับยิ่งจะทำให้สถานการณ์บานปลาย
เกี่ยวกับการตัดสินใจของกลุ่มที่จะส่งกองกำลังสำรอง ECOWAS เพื่อแทรกแซงทางทหารในไนเจอร์นั้นอันตราย ผู้นำการรัฐประหารสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมที่จะ “ต่อสู้กับการแทรกแซงจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังประกาศจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลที่มีตัวแทนภาคประชาสังคมรวมอยู่ด้วย ประชาชนไนเจอร์ก็ให้การสนับสนุน”มาลีและบูร์กินาฟาโซ เพื่อนบ้านของไนเจอร์ ซึ่งปกครองโดยรัฐบาลเฉพาะกาลที่ยึดอำนาจด้วยการก่อรัฐประหาร ประกาศก่อนหน้านี้ว่า การแทรกแซงทางทหารจะเป็น “การประกาศสงคราม” ต่อประเทศของตนด้วย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ECOWAS ประกาศใช้กำลังสำรองเตรียมแทรกแซงทางทหาร สหรัฐฯอเมริกาโดยแอนโทนี บลิงเคนออกหน้ามาหนุนทันที ผู้เชี่ยวชาญมองว่า หากเปิดการแทรกแซงทางทหาร จะมีความซับซ้อนอย่างยิ่งและไม่สามารถบรรลุชัยชนะได้อย่างรวดเร็ว ภาระทางทหารหลักจะอยู่ตกบนบ่าของไนจีเรีย และการสนับสนุนทางการเงินจากฝรั่งเศสและอเมริกา ด้านกองกำลังติดอาวุธของไนเจอร์พร้อมที่จะปฏิเสธและเข้าสู้รบอย่างรุนแรง
ดูเหมือนว่าความเห็นในECOWAS ยังไม่เป็นเอกภาพแม้จะมีคำประกาศพร้อมใช้กำลังทหารแทรกแซงไนเจอร์ก็ตาม
วันที่ ๑๒ ส.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวทาซซ์และสปุ๊ตนิกรายงานว่า ประเทศคาโบเวอร์เด (Cabo Verde) สมาชิก ECOWASอีกหนึ่งประเทศ ต่อต้านการแทรกแซงทางทหารในไนเจอร์
โฮเซ มาเรีย เนเวส(Jose Maria Neves) ประธานาธิบดีเคปเวิร์ด(Cabo Verde) กล่าวเสริมว่าเคปเวิร์ดจะไม่เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารในไนเจอร์
เขากล่าวย้ำว่า “เราทุกคนควรทำงานเพื่อฟื้นฟูระเบียบรัฐธรรมนูญในไนเจอร์ แต่ไม่ควรผ่านการแทรกแซงทางทหารหรือความขัดแย้งทางอาวุธ ณ จุดนี้ เราควรมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการเจรจาและแก้ไขปัญหาทางการทูต เพราะการแทรกแซงทางทหารจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงและเปลี่ยนภูมิภาคเข้าสู่เขตระเบิด”
เนเวสเสริมว่าเคปเวิร์ดจึงไม่น่าจะเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารที่มีศักยภาพในไนเจอร์
จุดเริ่มต้นของสถานการณ์ร้อนในอาฟริกา ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคมที่ผ่านมา กลุ่มทหารในไนเจอร์ประกาศถอดถอนประธานาธิบดีโมฮาเหม็ด บาซูม ปิดพรมแดน เคอร์ฟิว ระงับรัฐธรรมนูญ ตลอดจนห้ามพรรคการเมือง และประกาศให้สภาแห่งชาติเพื่อปกป้องมาตุภูมิขึ้นบริหารประเทศ โดยนายพลอับดุลราห์มาน ชัยอานี (Abdorahmane Tchiani) เข้ารับตำแหน่งผู้นำสภาเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม จนถึงบัดนี้อดีตปธน.Bazoum ยังคงถูกควบคุมตัวในที่พักของเขา
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคมที่ผ่านมา อลาสเซนี โอตตารา (Alassane Ouattara) ปธน.ไอวอรีโคสต์ประกาศเมื่อเขากลับมาจากการประชุมสุดยอด ECOWAS ในกรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรียว่า ผู้นำขององค์กรตกลงที่จะเริ่มปฏิบัติการทางทหารในไนเจอร์โดยเร็วที่สุด ขณะที่ไนเจอร์ตัดสินว่ากองทัพของประเทศควรเตรียมพร้อมในการสู้รบ
ด้านเซเนกัล ผู้นำประกาศหนุนคำสั่งอีโควาส แต่ประชาชนคัดค้านส่งทหารไปรบกับไนเจอร์และออกมาประท้วงอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
ชาดซึ่งเป็นประเทศใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Ecowas แต่อยู่ในกลุ่มประเทศซาเฮลได้รับเชิญร่วมประชุม ผู้นำทางทหารของประธานาธิบดีมะฮะหมัด อิดริสส์ เดบี (Mahamat Idriss Déby) แห่งชาด มีบทบาทในความพยายามไกล่เกลี่ยในการประชุมสัปดาห์ที่ผ่านมา
พลเอก ดาอูด ยายา บราฮิม รัฐมนตรีกลาโหมของชาด กล่าวกับสถานีโทรทัศน์แห่งชาติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “เราสนับสนุนการเจรจาระหว่างชาวไนเจอร์เสมอ และเราจะไม่เข้าแทรกแซงด้วยวิธีการทางทหาร”
ประเด็นหนึ่งที่น่าสังเกตุท่ามกลางฝุ่นตลบในกรณีไนเจอร์คือ เพนตากอนยืนยันว่าสมาชิกหลายคนของคณะรัฐประหารได้รับการฝึกอบรมจากสหรัฐฯมาก่อนแต่ปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนในการเกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจ ปลดปธน.บาซูม
เลขาธิการสื่อมวลชนเพนตากอน พล.อ. พล.อ. แพทริค ไรเดอร์ ยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ““เราทราบดีว่าบุคลากรทางทหารของไนเจอร์หลายคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่นั่นเคยได้รับการฝึกอบรมจากสหรัฐฯ ในอดีตแต่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกอบรมที่ได้รับและกิจกรรมของพวกเขาในเวลานี้แต่อย่างใด” ปฏิเสธไม่ได้เพราะก่อนหน้านี้ The Intercept รายงานว่าสมาชิกอย่างน้อยห้าคนของกลุ่มทหารของไนเจอร์ได้รับการฝึกอบรมจากสหรัฐฯ ใครจะเชื่อว่าสหรัฐฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นกับการรัฐประหารเลย!!
