หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์โหมข่าวประธานาธิบดีไนจีเรียโมฮาเหม็ด บาซูม ที่ถูกโค่นอำนาจ ร้องขอให้สหรัฐฯเข้าแทรกแซงเพื่อเอาชนะรัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาระบุในจดหมายว่า “ฉันเขียนสิ่งนี้ในฐานะตัวประกัน ไนเจอร์อยู่ภายใต้การโจมตีจากรัฐบาลทหารที่พยายามล้มล้างระบอบประชาธิปไตยของเรา ” “ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ และประชาคมระหว่างประเทศทั้งหมดช่วยเราฟื้นฟูระเบียบตามรัฐธรรมนูญของเรา การต่อสู้เพื่อค่านิยมร่วมกันของเรา ซึ่งรวมถึงประชาธิปไตยแบบพหุนิยมและการเคารพหลักนิติธรรม เป็นหนทางเดียวที่จะสร้างความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในการต่อต้านความยากจนและการก่อการร้าย”
น่าแปลกที่จดหมายน้อยถูกส่งและเข้ามือวอชิงตันโพสต์อย่างเร็ว แต่บ่งบอกว่าศัตรูที่แท้จริงของไนเจอร์ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศส แต่เป็นจักรวรรดินิยมแห่งแองโกลแซกซอนที่มีเมกา-อังกฤษเป็นโต้โผ งานนี้เล่นใหญ่ถึงรากเหง้าปัญหาปล้นทรัพยากร
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯแอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken) ยกย่องไนเจอร์ว่า “แบบจำลองของความยืดหยุ่น แบบจำลองของประชาธิปไตย แบบจำลองของความร่วมมือ”ต้องวงเล็บด้วยว่า กับสหรัฐฯและตะวันตก สรุปว่ารัฐบาลปธน.บาซูมเป็นคนโปรดของเมกานั่นเอง
ล่าสุดสหรัฐฯแบะท่าแล้วว่าอาจจะส่งทหารเข้าไปร่วมปราบ ทางฝ่ายไนเจอร์จับมือกับพันธมิตรมาลี-บูกินาฟาโซพร้อมสู้กลับ ขณะที่กลิ่นอายของการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากประเทศนักล่าอาณานิคมในอาฟริกากำลังกระเพื่อมรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ
วันที่ ๔ ส.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์ รายงานว่าผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาฟริกา ฟันธงว่า การตอบโต้รัฐประหารในไนเจอร์อาจบานปลายเป็น ‘สงครามแอฟริกาปะทุสุ่สงครามโลก’ การปราบปรามโดยตะวันตกและระดับภูมิภาคต่อรัฐบาลทหารชุดใหม่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในวงกว้างขึ้นจ่อควบคุมยากเสี่ยงบานปลาย
แฟรงคลิน ญัมซี(Franklin Nyamsi) ประธานสถาบันเสรีภาพแห่งแอฟริกากล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “หากประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตกหรืออีโควอส (ECOWAS) ดำเนินการทางทหารตามที่ขู่ว่าจะถอดถอนรัฐบาลใหม่ของไนเจอร์ พันธมิตรเช่นบูร์กินาฟาโซและมาลีน่าจะเข้ามาร่วมปกป้องประเทศเพื่อนบ้านตามที่ประกาศไว้เช่นกัน”
“การรณรงค์ที่ขับเคลื่อนโดยตะวันตกเพื่อบีบให้รัฐบาลรักษาการของไนเจอร์คืนอำนาจให้อดีตปธน.โมฮาเหม็ด บาซูม กลับคืนสู่อำนาจหลังจากการรัฐประหารของกองทัพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาจทำให้เกิดความขัดแย้งที่ลุกลามเป็นวงกว้างจนกระทบถึงขั้วอำนาจของนาโต้กับรัสเซียและจีน อย่างยากจะหลีกเลี่ยง”
“ตอนนี้เราอยู่ที่ประตูของสงครามโลกในแอฟริกา”
ECOWAS และสหภาพเศรษฐกิจและการเงินแห่งแอฟริกาตะวันตก (WAEMU) กำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลใหม่ของไนจีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด และอายัดทรัพย์สินของประเทศในรัฐสมาชิก ECOWAS ธนาคารเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคตัดความช่วยเหลือทั้งหมด เช่นเดียวกับสหภาพยุโรปและฝรั่งเศส สหรัฐและสหภาพแอฟริกาก็ขู่ว่าจะปฏิบัติตามเช่นกัน ECOWAS เรียกร้องให้รัฐบาลทหารคืนอำนาจให้บาซูม ซึ่งถูกกักบริเวณในบ้านพักตั้งแต่เกิดรัฐประหารภายในวันที่ ๖ สิงหาคมอาจต้องเผชิญกับปฏิบัติการทางทหารจากกลุ่มภูมิภาค
ญัมซีโต้แย้งว่า ECOWAS ดำเนินการในนามของผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และ NATO เช่นเดียวกับ Bazoum และไม่มีอำนาจในกฎบัตรที่จะโจมตีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง ประมุขแห่งรัฐ ECOWAS ที่สนับสนุนการตอบโต้ของกลุ่มต่อต้านการรัฐประหารในไนเจอร์คือเผด็จการที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการโค่นล้มรัฐบาลในประเทศของตนเองก่อนหน้านี้
เขาย้ำว่า “พวกเขากำลังทำงานเพื่อผลประโยชน์ของต่างประเทศ ผลประโยชน์ของลัทธิจักรวรรดินิยมลัทธิอาณานิคมใหม่ และองค์กรก็เดินตามนโยบายของผู้มีอำนาจทางการเมืองของฝรั่งเศส อำนาจทางการเมืองของยุโรป และอำนาจทางการเมืองของอเมริกาอย่างถาวร”
เขากล่าวเสริมว่า การแทรกแซงทางทหารโดย ECOWAS จะเป็น”การประกาศสงคราม”ไม่เพียงแต่กับไนเจอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมาชิกที่ไม่เห็นด้วย เช่น บูร์กินาฟาโซ มาลี และอาจกินีด้วย “ประเทศเหล่านั้นประกาศอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต่อต้านการทำซ้ำของสิ่งที่เกิดขึ้นกับลิเบียในปี ๒๕๕๔ เมื่อนาโต้โค่นล้มรัฐบาล สังหารปธน.มูอัมมาร์ กัดดาฟี และกลุ่มผู้ก่อการร้ายอิสลามติดอาวุธ”
เขากล่าวว่า “ไม่น่าเชื่อว่า ECOWAS พาตัวเองเข้าเกี่ยวข้องในการโจมตีครั้งใหม่รับใช้แรงบันดาลใจของ NATO ที่ต่อต้านผลประโยชน์ของชาวแอฟริกัน และเพียงเพราะกลุ่มทุนนิยมคณาธิปไตยที่เป็นหัวหน้าของ NATO มีความตั้งใจอย่างมากที่จะรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมของแอฟริกาเอาไว้”
ทั้งสองกลุ่ม ECOWAS กับแพนแอฟริกันล้วนเป็นพวกโปรนาโต้ อาจไม่เพียงต่อสู้กันเอง แต่ยังขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรที่ทรงพลังของพวกเขาด้วย ญัมซีกล่าวว่า “ผู้สนับสนุนไนเจอร์น่าจะขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และอิหร่าน “เป็นไปได้ว่านาโต้จะส่งออกสงครามโลกในแอฟริการะหว่างสองกลุ่มหลักในสงครามเย็นเก่า”เขาเตือนว่า “เราไม่ต้องการสิ่งนั้นในแอฟริกา” “เราอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายสำหรับทั้งโลก หากเราไม่ใช้การเจรจา หากเราไม่แสวงหาฉันทามติ หากเราไม่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศสำหรับประเทศที่มีอำนาจและประเทศที่มีอำนาจน้อยกว่า เราจะต้องล่มสลายทั้งมวลมนุษยชาติ” และสำหรับสหรัฐฯ “ไม่มีใครเชื่อมั่นว่าผู้ที่ทำลายลิเบีย ผู้ซึ่งสังหารกัดดาฟีทั้งที่เป็นแนวร่วมของนาโต้ กำลังต่อสู้กับการก่อการร้ายอย่างจริงจัง”