เมการ่อแร่!! ฟิตช์เรตติ้งหั่นเครดิตสหรัฐฯรอบ ๑๐ ปี เหลือAA+ เหตุหนี้ท่วมมหาศาล คลังเสียหน้าโวยว่าไม่จริง

0

เรื่องช็อคสำหรับ สหรัฐฯที่ต้องสูญเสียอันดับเครดิตสูงสุดอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบ ๑๐ ปี เพราะฟิทช์ประกาศลดอันดับเครดิตระยะยาว ทำให้ทำเนียบขาวและกระทรวงการคลังรับไม่ได้ออกมาค้านว่า “ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง” เถียงว่าสหรัฐเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง

วันที่ ๒ ส.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวเอเอฟพีและรัสเซียทูเดย์รายงานว่า ทำเนียบขาวและกระทรวงการคลังสหรัฐได้คัดค้านคำตัดสินของบริษัทจัดอันดับเครดิต Fitch ที่ลดอันดับเครดิตระยะยาวของสหรัฐจาก AAA เป็น AA+ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

แครีน ชอง-ปีแอร์(Karine Jean-Pierre) โฆษกทำเนียบขาวกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เราไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้อย่างยิ่ง”  โดยอ้างว่าการ ตัดสินใจนี้ “ท้าทายความเป็นจริง”เพราะประธานาธิบดี Joe Biden ได้นำพาเศรษฐกิจของอเมริกาให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง”

ด้านเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังยัง“ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง”กับการตัดสินใจของฟิทช์ โดยให้เหตุผลว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็น“การตัดสินใจโดยพลการและอิงตามข้อมูลที่ล้าสมัย หลักทรัพย์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังคงเป็น“สินทรัพย์ที่ปลอดภัยและมีสภาพคล่องที่โดดเด่นของโลก”

Fitch เป็น ๑ ใน ๓ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของสหรัฐ รองจาก Moody’s และ Standard & Poor’s ในบ่ายวันอังคาร วอชิงตัน ประกาศว่า“อันดับเครดิตเริ่มต้นของผู้ออกสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว” ของวอชิงตัน จะถูกลดระดับลง สาเหตุเพราะปัญหาเกี่ยวกับธรรมาภิบาล การขาดดุลที่เพิ่มขึ้น และภาวะถดถอยที่ใกล้จะเกิดขึ้น 

ฟิทช์กล่าวว่า “การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงการถดถอยทางการคลังที่คาดการณ์ไว้ในช่วง ๓ ปีข้างหน้า ภาระหนี้ภาครัฐทั่วไปที่สูงและเพิ่มมากขึ้น และการพังทลายของธรรมาภิบาล”เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่มีอันดับใกล้เคียงกันในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา“ซึ่งแสดงให้เห็นการเป็นหนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จำกัดความขัดแย้งและการแก้ไขในนาทีสุดท้าย”

บริษัทคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะขาดดุลเพิ่มขึ้น โดยสังเกตว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อจีดีพีของสหรัฐฯ อยู่ที่ ๑๐๐.๑% ซึ่งสูงกว่าค่ามัธยฐานของประเทศที่ได้รับการจัดอันดับ AAA ซึ่งอยู่ที่ ๓๙.๓% ถึง ๒.๕ เท่า 

ฟิทช์ยังอ้างถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อเร็วๆ นี้“การลงทุนทางธุรกิจที่อ่อนแอลง และการบริโภคที่ชะลอตัว”คาดการณ์ว่า“จะเกิดภาวะถดถอยที่ไม่รุนแรง”ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๖ และไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๗

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฟิทช์เรตติ้ง ได้นำความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เข้าสู่เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ (Rating Watch Negative) สะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจขยายเพดานหนี้ ก่อนเค้าลางเส้นตายที่คืบคลานเข้ามา แม้ต่อมาสภาคองเกรสได้บรรลุข้อตกลงระหว่าง ๒ พรรค สำหรับหลีกเลี่ยงหายนะผิดนัดชำระหนี้ แต่ฟิทช์เรตติ้งยังคงสถานะสหรัฐฯ ในเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ

“ในมุมมองของฟิทช์ มีความเสื่อมทรามลงอย่างต่อเนื่องในมาตรฐานของธรรมาภิบาลตลอดช่วง ๒๐ ปีหลังสุด ในนั้นรวมถึงประเด็นทางการคลังและหนี้สิน” สถาบันแห่งนี้ระบุในวันอังคาร ๑ ส.ค.ที่ผ่านมาว่า “การเผชิญหน้าทางการเมืองเกี่ยวกับเพดานหนี้ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการออกจากปัญหาในนาทีสุดท้าย ได้กัดเซาะความเชื่อมั่นในด้านการบริหารจัดการทางการคลัง”

นอกจากนี้ ฟิตทช์ยังอ้างถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ปราศจากกรอบการทำงานด้านการคลังในระยะกลาง และพบเห็นความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการจัดการกับความท้าทายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายด้านประกันสังคมและโปรแกรมประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Medicare) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอายุของประชากร

ความเห็นเช่นนี้สอดคล้องกับสถาบันจัดอันดับเครดิตของจีน ที่ออกมาประกาศเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา China Chengxin International Credit Rating (CCXI) ปรับลดคะแนนความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงหนึ่งอันดับ 

CCXI ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Beijing Zhixiang Information Management Consulting และ Moody’s ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดอันดับของสหรัฐ ได้ลดอันดับสหรัฐเป็น AAg+ จาก AAAg โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อปรับลดอันดับต่อไปอีก

หน่วยงานกล่าวเสริมว่า “ความแตกแยกทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายในสหรัฐฯ ได้เพิ่มความยากในการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ แม้ว่าจะบรรลุฉันทามติแล้ว แต่ความบกพร่องนี้อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อแนวนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ และทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจลดลง ซึ่งอาจกระตุ้นให้การเมืองและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผันผวนมากขึ้น”