คณบดีคณะแพทยฯศิริราช ห่วงเด็กหากไปรร. ขณะปลื้มยุต้องเปิดให้เด็กติดเชื้อก่อนค่อยปิด

0

จากที่โฆษก ศบค.แถลง ผู้ป่วยใหม่โควิด-19 ต่ำสิบ 2 วันต่อเนื่อง เสียชีวิตเพิ่ม2รายแต่ยังไม่เบาใจไม่ได้ต้องเข้มงวดต่อ มีบางอย่างที่ผ่อนปรนได้ ขณะคุณปลื้มออกมายุให้เปิดโรงเรียนตามปกติอ้างสงครามยังต้องเรียนหนังสือ

ทั้งนี้นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช กล่าวถึงประเทศไทยขณะนี้มีแนวโน้มในการมาอยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถควบคุมโรคได้ดี เป็นจังหวะดีที่ประเทศจะมีมาตรการผ่อนปรน โดยใช้ทฤษฎีทุบด้วยค้อนแล้วปล่อยให้ฟ้อนรำ (The Hammer and The dance) หมายถึงต้องใช้มาตรการคุมเข้มเพื่อดึงตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ให้ลดลง แล้วค่อยๆผ่อนมาตรการให้ประชาชน เหมือนในหลายๆประเทศที่ทำอยู่

“แต่ไม่ควรทำติดต่อกันเป็นเวลานาน เต็มที่ไม่ควรเกินเดือนครึ่ง เพราะมีผลกระทบหลายอย่าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจ คนเครียดเพราะรายได้ลดลง ดังนั้นต้องสร้างสมดุลทางสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคม ขณะนี้ถึงเวลาที่ไทยจะเริ่มผ่อนปรนให้คนไทยใช้ชีวิต เป็นการผ่อนปรนแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยดูตามพื้นที่และกิจกรรม แต่ไม่ผ่อนปรนเรื่องมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด คือการเว้นระยะห่าง ออกนอกบ้านแต่อย่าออกไปนาน สวมหน้ากากทุกครั้ง การล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่างต้องทำอย่างเข้มข้นห้ามผ่อนปรน”

นอกจากนี้นพ.ประสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนกิจกรรมที่ประเมินผลกระทบนั้น พบว่า มาตรการให้อยู่บ้านนั้น หากไม่อยู่บ้านจะมีผลกระทบสูง เช่น การเปิดโรงเรียน มีผลกระทบสูงเพราะโรคโควิด-19 ในเด็กจะติด แต่มีอาการน้อย เด็กอาจติดแต่อาการไม่รุนแรง และเด็กจะแพร่เชื้อกันได้จำนวนมากกระจายไปถึงครู แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ เด็กจะเอาเชื้อกลับมาติด พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย การที่รัฐให้ปิดโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ดังนั้นการผ่อนคลายต้องชะลอลงตรงจุดนี้ต้องควบคุมให้มั่นใจว่าจะคุมการแพร่ระบาดได้

ต่อมาวันที่ 28 เม.ย.63 หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ “คุณปลื้ม” พิธีกร และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ nattakorn devakula โดยระบุว่า ถ้ายังมีคนบอกว่า E-Learning ทางไกลเเบบ Remote/Distant ดีสำหรับเด็กเเละจำเป็นผมขอเชิญไปปรับทัศนคติ เด็กวัยเจริญพันธุ์ไม่ควรจะต้องมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การที่อยู่ในวัยเรียนรู้เขาควรได้รับโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมโลกกับครูบาอาจารย์ ในสภาวะที่ไม่มีโรคระบาดที่เป็นภัยคุกคามต่อเด็ก

โรงเรียนจะต้องทำหน้าที่สอนเด็ก ไม่ใช่พ่อเเม่ต้องหยุดงานนั่งประกบลูกหลานอยู่ที่บ้าน วิงวอนอีกครั้ง (เพราะยังมีคนคิดอย่างนี้อยู่ในกระทรวงเเละรัฐบาล) ที่ยังคิดพยายามยัดเยียดการบังคับเรียนที่บ้านให้กับเด็กไทยทั้งประเทศว่าอย่าเเม้เเต่คิด โรคระบาดคุมอยู่ เเละไม่ได้ระบาดในเด็กเลย รัฐต้องช่วยพยายามลดความกลัวของผู้ปกครองที่ยังได้ข้อมูลไม่ทั่วถึงว่าการพาลูกไปโรงเรียนนั้นเวลานี้ปลอดภัยเเล้ว

ส่วนการเปิดเทอมเปิดได้ตรงเวลา เรียนที่โรงเรียนตั้งเเต่ 1 ก.ค.ได้อย่างเเน่นอน เเละเอาที่จริงเเล้วเปิด 1 มิถุนายนก็ได้ถ้าใช้มันสมองคิดไม่ใช่ปอด เด็กต้องได้พบเพื่อน ทำกิจกรรม เรียนกับครูตัวต่อตัวเเละในกลุ่มไม่ใช่ผ่านอินเตอร์เน็ตเเละเด็กจำเป็นต้องได้วิ่งเล่นเเละออกกำลังกาย ส่วนถ้ามีจนท.รัฐหรือผู้บริหารในรัฐบาลยังไม่ตื่นเเละทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ไม่สำเร็จผมเเนะนำว่าควรไปปรับทัศนคติ บางทีฟังตัวเลขที่ศบค.เเถลงบ้างก็ดีเเล้วหันไปมองตัวเลขในยุโรปจะได้เข้าใจอาการของโรคนี้ในประเทศไทยของเรา

นี่ไม่ใช่วิกฤติฉุกเฉินเลยอีกต่อไป มีโรคระบาดอีกเยอะเเละปัจจัยเสี่ยงในการใช้ชีวิตประจำวันอีกเยอะสำหรับลูกหลานของเรา COVID19 นั้นไม่ใช่เลย พอได้เเล้ว เเละรบกวนศธ./ผู้ว่าฯสั่งเปิดร.ร.เรียนพิเศษต่างต่างที่ขึ้นกับกระทรวงตั้งเเต่ 1 พ.ค.หรือ 1 มิ.ย.ได้เเล้วเกินไปกว่านั้นถือว่าช้าไป

เเละลิดรอนสิทธิในการประกอบอาชีพของเขา เด็กจำนวนมากต้องเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้บางไหม? มัวเเต่เอาใจคนกลุ่มที่กลัวอยู่กลุ่มเดียว! ถึงเวลาคืนชีวิตให้กับลูกหลานของเรา ! ไม่ใช่บังคับให้อยู่เเต่ในบ้าน (ทั้งทั้งที่ไปเอาสิทธิมาจากไหนไม่ทราบ) จนคนเขาเริ่มที่จะเฉื่อยชา

สมองมีไว้เรียนรู้ ร่างกายมีไว้ออกกำลัง ผู้ใหญ่ต้องออกมาทำมาหากิน เด็กต้องไปเรียน นายกฯ รับฟังนิดนึงเเละอย่าดื้อ ชีวิตมนุษย์นั้นสำคัญ ส่วนคนไหนยังกังวลเเละอยากอยู่ในบ้านต่อไปนั้นเป็นสิทธิไม่มีใครไปว่าหรอก เเต่อย่าบังคับผู้อื่นให้ต้องทำเเบบคุณ เขาไม่ยึดความจริง ตัวเลขผู้ป่วยที่ลดลง หลักการด้านระบาดวิทยาหรือวิทยาศาสตร์เลยด้วยซ้ำ ศธ.เเละ ศบค.ใช้นโยบาย ปอด เเละ กลัวนายด่า นำหน้า เเทนที่จะใช้สมองลงในรายละเอียด น่าจับมานั่งเรียนหรือสอน E-Learning เองสัก 5 ชั่วโมงติดต่อกันสัก 5 วันจะได้เข็ด

ผมพูดตั้งเเต่เเรกเเละย้ำอีกครั้ง: เปิดได้หมดทุกโรงเรียน ทุกระดับ ทั้งไทยเเละอินเตอร์ ทั้งเรียนพิเศษเเละเรียนปกติ ทั้งประถมเเละมหาวิทยาลัยเพราะโรคนี้ไม่ระบาดในเด็กเเละไม่อันตรายต่อเด็กหรือผู้มีร่างกายเเข็งเเรง รวมทั้งที่ว่าไม่ได้ระบาดในประเทศไทย เเล้ว ตื่นเถอะครับทั้งกทม.ศบค. เเละกระทรวงศึกษาธิการ นายกฯด้วย โรงเรียนเปิดได้ ถ้าไม่เอาพ.ค.ก็มิถุนายนหรืออย่างช้าที่สุดไม่เกินกรกฎาคม ไม่เอา E-Learning ด้วย ในเด็กวัยเจริญพันธุ์ เรียนจริงกับครูจริงที่โรงเรียนทั้งประเทศ อย่าพรากการศึกษาไปจากเด็กไทยของเรา

อย่าไปยอมรัฐ มันเกินไปรอบนี้ เราไม่ต้องการเงิน เราต้องการให้ลูกได้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เเบบที่เป็นสิทธิของเขา โรคไม่ได้ระบาดเเล้ว ทุกคนออกมาทำงานได้ เด็กๆก็มีสิทธิออกจากบ้านไปเรียนหนังสือ โรคนี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเด็กเลย ยังไงต้องไม่ยอมมันรอบนี้

เปิดได้เเล้ว เปิดได้เลย มีโรคระบาดที่ระบาดจริงจริงในเด็กค่อยปิดโรงเรียน ไม่งั้นไม่เเฟร์ต่อเด็กครับ คนเราต้องเรียนหนังสือ นี่ไม่ใช่สภาวะยกเว้น ขนาดช่วงสงครามยังต้องเรียนหนังสือเลย