เป็นเรื่องกันแล้วเมื่อปรากฏบางคนบางกลุ่มต้องการที่อยากจะสร้างประชาธิปไตยในโลกโซเชียลฯ แต่หลายครั้ง ก็ให้ตั้งคำถามด้วยเช่นกันว่า การแสดงความคิดเห็นด้วยคำพูดที่หยาบคาย ใช้วาจาที่รุนแรงต่อคนอื่นนั้น นั่นเรียกว่าเป็นการใช้ประชาธิปไตยแบบไหน ซึ่งวันนี้จะนำเอาสองกรณีตัวอย่างมาให้ศึกษา เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับสายเกรียนคีย์บอร์ด ให้รู้ว่าทำอะไรไปก็รับผิดชอบด้วย?!?
3 ธันวาคม 62 เฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ ซึ่งเป็นเพจที่นำเสนอและเผยแพร่การจัดรายงานผ่านเฟซบุ๊กของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จัดรายงาน ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง โดยได้โพสต์ข้อความไว้ดังนี้
Sondhi Special : คุยเรื่องคนเข้ามาใช้คำหยาบคาย พร้อมที่จะดำเนินคดี
– เตรียมเช็คบิล นักเลงคีย์บอร์ด
8 ธันวาคม 62 ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวเรื่องราวในลักษณะคล้ายกันโดย ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan
#เรียนกระทรวงศึกษาธิการ
ท่านปล่อยปะละเลยเรื่องคุณภาพการศึกษาหรือไม่?
Nataphol Teepsuwan – ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
ผมไม่นึกว่าคุณภาพการศึกษาไทยจะมาถึงจุดนี้ เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งที่ส่วนมากจะเป็นคนรุ่นใหม่ได้เสพข้อมูลที่บิดเบือนใส่ร้ายผมแล้วก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ จนคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงโดยปราศจากการคิดวิเคราะห์หรือการค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเอง แล้วจากนั้นก็มารุกรานสิทธิเสรีภาพของผมอย่างต่ำตม จนผมสงสัยว่าระบบการศึกษาของไทยนั้นผลิตคนประเภทนี้ออกมาได้อย่างไร?
ผมขอเรียนเพื่อแก้ข้อครหาที่ค้างอยู่ว่า…
1.โปรแกรม TurnItIn นั้นสามารถตรวจสอบได้แต่ความคล้ายคลึงเท่านั้น แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเข้าข่ายการทำผิดทางวิชาการในฐานการคัดลอกหรือไม่? ซึ่งผมก็นำเสนอข้อมูลเหล่านี้ไปแล้ว แต่บุคคลกลุ่มดังกล่าวก็ไม่เคยติดตาม เอาแต่เสพแต่ข้อมูลวิปริตบิดเบือนด้านเดียวจนคิดว่าเป็นเรื่องจริง
เรื่อง Self-plagiarism หรือการคัดลอกผลงานตัวเองเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจนทาง NTU ยังเคยทำหนังสือชี้แจงโดยย่อว่า…Judgment should not be based on the percentage of overall matching หรือ การตัดสินไม่ควรตัดสินจากเปอร์เซ็นความคล้ายคลึงที่ตรวจได้จากโปรแกรมเพียงอย่างเดียว อ่านรายละเอียดได้จาก…http://research.ntu.edu.sg/…/Further%20guidance%20on%20anti…
2.เมื่อค้นข้อมูลจากสำนักพิมพ์ Wiley ที่มีการอ้างถึงเขาก็ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า…ผลงานทั้งหลายก่อนการตีพิมพ์เหล่านี้
ไม่ได้เข้าข่าย “การคัดลอก” แต่อย่างใด ได้แก่
– บทคัดย่อหรือโปสเตอร์ที่มีการนำเสนอระหว่างการประชุมทางวิชาการ
– ผลการวิจัยที่นำเสนอในการประชุมต่างๆ (ยกตัวอย่าง เช่น การนำเสนอผู้ตรวจสอบหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถึงผลการค้นคว้า)
– ผลการวิจัยในฐานข้อมูลต่างๆ (ข้อมูลที่ไม่ได้มีการอธิบาย, บทพิจารณาข้อมูล, เนื้อหาหรือในบทสรุปในรูปแบบของตารางหรือตัวหนังสือที่อธิบายข้อมูล)
– ปริญญานิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ในมหาวิทยาลัย
อ้างอิงจากเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ Wiley…https://authorservices.wiley.com/et…/research-integrity.html
ทั้งหมดนี้สามารถสืบค้นได้จาก Google อย่างง่ายดาย
ดังนั้นการใส่ร้ายในประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่น้อยคนจะเข้าใจอย่างถ่องแท้รวมถึงพฤติกรรมบกพร่องทางสังคมที่เชื่อง่ายแล้วเสียสติมาระรานผู้อื่นต่างหากที่เป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรมที่สุด
และขอเรียนฝากไปยัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่ากระบวนการสร้างข้อมูลเท็จเพื่อใส่ร้ายคนที่เห็นต่างนั้นมีอยู่จริง และมาจากเครือข่ายโซเชียลทั้งใต้ดินและบนดินของพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเดียวที่ชอบโกหกในประเทศไทย
ฝากท่าน พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ช่วยกวาดล้างด้วยครับ
ประชาธิปไตยที่เคารพต่อสิทธิเสรีภาพและอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงต้องเกิดขึ้นในโซเชียลของประเทศไทย…เพราะนี่คือก้าวแรกแห่งการเดิมพันเพื่อสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทย
ผมขอฝากไปยังคนกลุ่มดังกล่าวที่มีพฤติกรรมต่ำตมซึ่งละเมิดต่อกฎหมายและสิทธิเสรีภาพของผมว่า…ก่อนจะด่าคนอื่นกรุณาศึกษาก่อน Google ก็มี เพราะมิฉะนั้นจะเป็นการแสดงความโง่ในโง่โดยที่ไม่รู้ตัว
สุดท้ายขอบอกว่า…เอาเวลานั่งใส่ร้าย ดร. ไปลุ้นยุบพรรคดีกว่า หรือไม่ก็เอาหัวสมองและความสามารถไปเรียนปริญญาเอกสักใบแล้วจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เอามหาลัยอันดับโลกด้วยก็ดีนะเพราะกระบวนการจบมันเข้มข้นดี
หรือบางทีประเทศไทยอาจจะโดนถ่วงความเจริญเพราะคนจิตวิปริตกลุ่มนี้ที่วันๆเอาแต่เสพความเท็จในโลกเสมือนจริงอย่างขาดสติและถมถุยคนอื่นด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาไปวันๆ
9 ธันวาคม 62 กลับมาที่เพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ได้โพสต์ข้อความ เปิดเผยถึงเหตุการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับกรณีที่นายสนธิ เตรียมดำเนินคดีกับผู้ที่หมิ่นด้วยการโพสต์ว่า
วันนี้ นายเจตนรินทร์ สกุลออมทรัพย์ คนที่ถูกฟ้องจากการที่คุณสนธิเอาจริงกับคนที่ใช้คำหยาบเเละพูดจาดูหมิ่น ติดต่อมาเพื่อขอขมาคุณสนธิ เนื่องจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ใน post ข้อความที่เข้าข่ายดูหมิ่นใน Facebook : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
คุณสนธิเห็นว่ายังเป็นเด็กหนุ่มอยู่อายุยังน้อยยังต้องไปทำงานทำการ ถ้ามีคดีติดตัวก็เหมือนตัดอนาคตคน ๆ นึง จึงนัดเข้ามาพูดคุยเเละชี้เเจงสิ่งที่เค้าทำลงไปว่ามันผิดมีโทษทางกฎหมาย เเละให้อภัยในสิ่งที่ทำไปโดยจะถอนเเจ้งความ
เเละขอเตือนหลาย ๆ คนที่เข้ามาใช้คำหยาบ ด่าทอเเละดูหมิ่นใน page : คุยทุกเรื่องกับสนธิ ว่าจะทำอะไรจะพิมพ์อะไรคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะกดปุ่ม ENTER อย่างที่คุณสนธิเคยบอกว่า เห็นต่างได้ใช้เหตุผลในการพูดคุย ไม่ใช้คำหยาบ
9 ธันวาคม 62 ในวันเดียวกันนี้ ดร.ศุภณัฐ ก็ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ถึงเหตุการณ์ของตนเองในการจะดำเนินคดีกับคนที่หมิ่นผ่านการโพสต์ด้วยว่า
#จุดจบสายเกรียน
กรณีที่ 1 สำนึกและขอโทษ: บุคคลดังกล่าวสำนึกผิดและขอโทษผมแบบมีมารยาทแล้วก็ยังส่งข้อความมาขอโทษผมในแชทอีก
แบบนี้ผมให้อภัยครับ สังคมจะน่าอยู่ถ้าเราให้โอกาสกัน แต่ก็ขอฝากบอกไว้ว่าบ้านเมืองมีกฎหมาย ทำอะไรกรุณาคิดดีๆก่อนครับ ยิ่งเป็นการมาละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นที่ไม่รู้จักกันเนี่ย มันแย่เกินไปครับ
กรณีที่ 2 ทำผิดซ้ำซาก: เด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ นาย กมนัช ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาตรีอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น
เพราะทำผิดซ้ำซากจนไม่อาจที่จะให้อภัยได้ ผมจึงตัดสินใจดำเนินคดีเป็นรายแรก และผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ผมจะดำเนินคดีจนถึงที่สุดแบบที่สุดจริงๆ และจะไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น
ฝากไปบอกนาย กมนัช ด้วยนะครับว่าผมบล็อคเขาเรียบร้อยแล้ว แปลว่าผมมีทั้งหลักฐานที่เก็บเป็นภาพหน้าจอไว้ อีกทั้งที่เขาโพสคาไว้ทั้งหมด
นอกจากนี้ผมจะดำเนินการทางจริยธรรมกับเขาอีกด้วย ถึงต้นสังกัดของเขาว่าเขาไม่สมควรที่จะได้รับทุนหรือเป็นนักวิชาการที่ดีในอนาคต เพราะเขาเสพข่าวด้านเดียวอย่างขาดสติ ไร้วิจารณญาณเป็นที่สุด คิดไม่ได้แถมยังไม่รู้จักตรวจสอบใดๆก่อนที่จะเชื่อ กูเกิลก็มีแต่ดันเชื่อข่าวลือเป็นตุเป็นตะแล้วมาใส่ร้ายผู้อื่นทางวิชาการอย่างเสียๆหายๆ
อีกทั้งยังหยาบคายเป็นที่สุด แม้ว่าผมจะโพสอธิบายความจริงพร้อมการอ้างอิงมาตลอด แต่เขาก็ไม่เคยที่จะศึกษาทำความเข้าใจใดๆทั้งสิ้น และยังไม่ยอมหยุดพฤติกรรมดังกล่าวอีกด้วย
ในเมื่อคุณอยากจะมีปัญหากับผม ผมขอจัดให้แบบเต็มรูปแบบภายใต้หลักการของกฎหมายและประชาธิปไตย…ทีนี้พอใจแล้วยังครับ???
ซาโยนาระครับ
เพราะผมเป็นคนจริง พูดจริง ทำจริง
และที่สำคัญที่สุดคือ ผมอยู่ในโลกของความเป็นจริงครับ
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า…
นักการเมือง…อย่าทำเรื่องส่วนตัวให้เป็นเรื่องของส่วนรวม
ประชาชน…อย่าทำเรื่องส่วนรวมให้เป็นเรื่องส่วนตัว
นั่นคือสองเรื่องสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสองบุคคล ย้ำว่าการแสดงความคิดเห็นใดๆต้องตั้งอยู่บนความรับผิดชอบ คือต้องพร้อมรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำด้วย เพราะในเรื่องสิทธิเสรีภาพนั้น ตัวเราไม่ได้มีเพียงเดียว ดังนั้นจึงอยากฝาก2กรณีนี้เป็นบทเรียนเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลาย!!!