หลังได้ไฟเขียวตอบโต้ตะวันตกแทรกแซงคว่ำบาตร จีนได้แสดงบทบาทที่เข้มงวดกับเมกาและพวกมากขึ้นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร ล่าสุดเตือนเพื่อนบ้านทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อย่าหลงกลวอชิงตัน อย่าหลงลืมรากเหง้าเผ่าพงษ์เอเชีย
หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและหัวหน้าคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซัดแรงว่า ชาวยุโรปและอเมริกาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างชาวจีน เกาหลี และญี่ปุ่นได้ และเรียกร้องให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้สร้างพันธมิตรกับปักกิ่งเพื่อ “ฟื้นฟูเอเชียตะวันออก”
หวัง อี้ กล่าวในการประชุมไตรภาคีทางตอนเหนือของจีน เมืองชิงเต่าในวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “ไม่ว่าคุณจะย้อมผมเหลืองแค่ไหน หรือทำจมูกแหลมแค่ไหน คุณจะไม่มีวันกลายเป็นชาวยุโรปหรืออเมริกา คุณจะไม่มีวันกลายเป็นชาวตะวันตก” “เราต้องรู้ว่ารากของตัวเองอยู่ที่ไหน” “จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หากเราสามารถจับมือกันและร่วมมือกันได้ ไม่เพียงแต่จะเหมาะสมกับผลประโยชน์ของทั้งสามประเทศของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความปรารถนาของประชาชนของเราด้วย และเราจะร่วมกันสร้างความมั่งคั่ง ฟื้นฟูเอเชียตะวันออก และสร้างคุณค่าให้กับโลก”
นอกจากนี้ในเวลาเดียวกันทางด้านการทหารได้ประกาศยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยี ยืนยัน เครื่องยนตร์ดับเบิ้ลยูเอส-15 (WS-15 engines) เป็นเครื่องยนต์ทรงพลังมากที่สุดและใช้เวลาพัฒนามานาน ๒ ทศวรรษของจีน เหินเวหาทดสอบสมรรถนะสำหรับการบินเป็นเที่ยวแรกแล้ว
วันที่ ๗ ก.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า ความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นนี้จะเพิ่มขีดความสามารถของเครื่องบินขับไล่ล่องหนจีนในการต่อกรกับเครื่องบินขับไล่ล่องหนชื่อดังของเมกา ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเครื่องบินขับไล่เอฟ-22 และเอฟ-35 รุ่นที่ ๕ ของสหรัฐฯ กำลังยกโขยงมาประจำการทั้งในฐานทัพอเมริกาที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และฟิลิปปินส์
จากมุมมองของโจว เฉินหมิง นักวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการทหารหยวนหวัง ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในกรุงปักกิ่งมองว่าแม้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนไม่ออกมาแถลงเกี่ยวกับวันเวลาในการทดสอบ แต่การปล่อยให้วิดีโอและภาพถ่ายแพร่สะพัดในสื่อโซเชียลทั้งในและนอกประเทศโดยไม่ถูกเซ็นเซอร์ก็เท่ากับเป็นการยืนยันกลายๆ ของกองทัพจีนถึงความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนดับเบิ้ลยูเอส-15
ก่อนหน้านี้ ข่าวสายทหารเคยเผยแพร่คลิปเครื่องบินเจ-20 ขึ้นบินทดสอบด้วยเครื่องยนต์ เอแอล-31 (AL-31) ของรัสเซียเที่ยวแรกเมื่อปี ๒๕๕๔ และด้วยเครื่องยนต์ดับเบิ้ลยูเอส-10 ซี (WS-10C) ของจีนเที่ยวแรกเมื่อปี ๒๕๖๔ มาแล้ว
โจว ระบุว่า เครื่องยนต์ดับเบิ้ลยูเอส-15 ตอบโจทย์ปัญหา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเจ-20 ทำให้มันไต่ระดับเพดานบินได้คล่องแคล่วว่องไวขึ้นมากโข ใกล้เคียงเครื่องยนต์เอฟ119 ของมะกัน ที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องบินขับไล่ล่องหนเอฟ-22 และเอฟ-35 กันเลยทีเดียว
เขาเสริมว่า “เครื่องยนต์ดับเบิ้ลยูเอส-15 ทดสอบสำเร็จ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะเข้าสู่การผลิตเครื่องยนต์รุ่นนี้ออกมาจำนวนมาก การทดสอบและการปรับปรุงยังเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ”
กองทัพปลดแอกประชาชนจีนมีการผลิตเครื่องบินขับไล่เจ-20 อย่างน้อย ๒๐๐ ลำ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์เอแอล-31 ของรัสเซีย ขณะที่เครื่องยนต์ของจีนคือดับเบิ้ลยูเอส-10 ซี ซึ่งมีระบบแรงขับกำหนดทิศทาง (thrust-vectoring) จะคอยสำรองไว้ใช้ยามจำเป็นชั่วคราว
ด้านสหรัฐฯ นั้น ตามรายงานของสื่อระบุว่า มีแผนส่งเครื่องบินขับไล่ล่องหนมาประจำการในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากถึง ๓๐๐ ลำ ภายในปี๒๕๖๘
การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯได้รับการสนองตอบจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อย่างเอาการเอางานในทุกด้าน แสดงบทบาทเสมือนเอเยนต์ผลประโยชน์ของวอชิงตันอย่างเปิดเผย เดินหน้าต้านจีนอย่างไม่ซ่อนเร้น จีนแสดงความกังวลและออกมาเตือนทั้งสองประเทศซึ่งเป็นเพื่อนบ้านเอเชียเช่นกัน
สหรัฐฯเพิ่งประกาศจะส่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์พร้อมขีปนาวุธไปยังชายฝั่งเกาหลีใต้ หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เปิดเผยจุดยืนของจีนต่อเรื่องนี้กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “จีนกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการกรณีดังกล่าว” นักการทูตตอบเมื่อถูกขอให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับจุดยืนของปักกิ่งต่อแผนการเหล่านี้ของสหรัฐฯ
หวังระบุว่า “จีนได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ “เข้าใจประเด็นปัญหา” และแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ในจุดยืนทางการเมืองบนคาบสมุทร” เขากล่าวว่า “วิธีการข่มขู่และกดดันทางทหารที่ผิดพลาดจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด”
ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว รองผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ-เกาหลี สก็อตต์ เพลอุส กล่าวว่า สหรัฐฯ จะส่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์พร้อมขีปนาวุธขึ้นประจำการในเร็วๆ นี้ และสำนักข่าวท้องถิ่นรายงานว่า เรือดำน้ำจะติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์
ในวันที่ ๑๖ มิถุนายน หนึ่งวันหลังจากที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ ๒ ลูกไปยังทะเลญี่ปุ่น
เรือดำน้ำ USS Michigan ซึ่งเป็นเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนำวิถีเชิงยุทธศาสตร์ชั้นโอไฮโอของสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงคาบสมุทรเกาหลีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ที่สหรัฐฯ ส่งเรือดำน้ำระดับนี้ไปยังเกาหลีใต้
จะเห็นได้ว่าสหรัฐฯไม่รามือในการเคลื่อนไหวต่อต้านจีนอย่างเปิดเผย ภายใต้การตอบสนองของประเทศบริวารในเอเชีย-แปซิฟิค ซึ่งท่าทีของจีนก็ตอบสนองต่อสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างฉับไวไม่ลังเล จับตาวันนี้รมว.การคลังสหรัฐฯ เจเน็ต เยลเลนเดินทางถึงปักกิ่งแล้ว จะได้พบกับใครและท่าทีจีนหลังจากนี้จะออกมาในรูปไหน ย่อมส่งผลต่อสงครามเศรษฐกิจและแนวรบทางทหารระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่มหาอำนาจเดี่ยวแองโกลแซกซ่อนและกลุ่มอำนาจหลายขั้ว!!??