ตัวตึงของรัสเซียออกโรงทีไรเจ็บจี๊ดเสมอ อดีตปธน.เมดเวเดฟขู่แรงที่โปแลนด์ขอติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ และถ้าสหรัฐฯตกลง สงครามนิวเคลียร์ก็เลี่ยงไม่ได้
นายกรัฐมนตรีโมราเวียคกีของโปแลนด์ ประกาศว่าวอร์ซอว์ต้องการเข้าร่วมโครงการแบ่งปันนิวเคลียร์ของนาโต้ เมื่อรัสเซียจัดส่งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีไปยังเบลารุสแล้ว
เมดเวเดฟแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของโปแลนด์ว่า “อันตรายเพียงอย่างเดียวที่เกิดจากการร้องขอให้ส่งอาวุธนิวเคลียร์ไปยังโปแลนด์ก็คืออาวุธดังกล่าวจะถูกใช้แน่นอน”
จอห์น เคอร์บี ผู้ประสานงานด้านการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับการเจรจาในลักษณะนี้ อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่เห็นความตั้งใจของรัสเซียที่จะใช้นิวเคลียร์ท่ามกลางวิกฤตยูเครน
วันที่ ๒๕ มีนาคม ประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซียประกาศว่า มอสโกว์จะติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีตามคำร้องขอของมินสค์ในเบลารุส เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ ทำมานานแล้วในดินแดนของพันธมิตร
มอสโกได้จัดหาระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธี Iskander ให้กับมินสค์ที่สามารถบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ได้และได้ช่วยมินสค์ในการติดตั้งเครื่องบินทหารอีกครั้งเพื่อบรรทุกอาวุธพิเศษเช่นกัน ลูกเรือและนักบินขีปนาวุธของเบลารุสก็ผ่านการฝึกในรัสเซียในการใช้งานอาวุธดังกล่าว
๑๖ มิถุนายน ปูตินกล่าวว่าหัวรบนิวเคลียร์ลูกแรกของรัสเซียได้ถูกส่งไปยังเบลารุสแล้ว ส่วนส่วนที่เหลือจะมาถึงก่อนสิ้นปีนี้
๒๓ มิถุนายน อเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก ผู้นำเบลารุสกล่าวว่าสาธารณรัฐของเขาได้รับหัวรบจำนวนมากซึ่งกำลังจะส่งมอบแล้ว
นอกจากกองทัพของเบลารุสจะพรั่งพร้อมด้วยบินรบชั้นสูงของรัสเซียและ นิวเคลียร์ยุทธวิธีแล้ว ยังมีหน่วยพิเศษวากเนอร์เข้าร่วมฝึกสอน และอาจปฏิบัติการในสถานการณ์สู้รบเผชิญหน้าระหว่างเบลารุสและเคียฟ-นาโต้ด้วย

วันที่ ๓ ก.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวทาซซ์รายงานว่า ดมิทรี เมดเวเดฟอดีตปธน.รัสเซียปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซีย กล่าวว่า “สถานการณ์ในยูเครนไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งในระดับภูมิภาค แต่เป็นการเผชิญหน้ากันโดยสิ้นเชิงระหว่างกลุ่มประเทศตะวันตกกับส่วนอื่นๆ ของโลก เขาเขียนในบทความสำหรับ Rossiyskaya Gazeta รายวันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เขากล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนและในดอนบาส ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งในระดับภูมิภาค แต่เป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มประเทศตะวันตกกับส่วนอื่นๆ ของโลกก็ว่าได้”
จากคำกล่าวของเมดเวเดฟ เขาอธิบายว่า “การเผชิญหน้าครั้งนี้เกิดจาก ประเทศตะวันตกซึ่ง “ไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและสูญเสียการครอบงำเบ็ดเสร็จอยู่ข้างเดียว สงครามลูกผสมที่พวกเขากำลังขับเคี่ยวกับรัสเซียเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาที่จะรักษาข้อได้เปรียบสำหรับสถานะที่เป็นอยู่ของพวกเขา เพื่อรักษาอำนาจและอิทธิพลที่อ่อนแอของพวกเขา ภายใต้ข้ออ้างรัสเซียรุกรานยูเครน”
เขาชี้ให้เห็นว่า รัสเซียพร้อมกับ “โลกตะวันออกและใต้” อยู่อีกด้านหนึ่ง ประชากรของพวกเขาคิดเป็นเกือบสองในสามของมนุษยชาติ “ประเทศเหล่านี้ได้รับแรงผลักดันอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ เอาชนะผลพวงทางเศรษฐกิจและการเมืองของอดีตอาณานิคม พวกเขายืนหยัดเพื่อการพัฒนาที่เท่าเทียมกันของทุกรัฐ ปราศจากการแบ่งแยกสถานะพันธมิตรอาวุโสและผู้เยาว์ ปราศจากการแบ่งแยกเหยียดหยามในประเทศที่พัฒนาแล้วและด้อยพัฒนาในอดีต ตามแนวคิดแบบระบอบประชาธิปไตย’ เปรียบเทียบกับ ‘ระบอบเผด็จการ’ จากมุมมองของตะวันตกด้านเดียว”
กลุ่มประเทศตะวันตกกำลังสูญเสียบทบาทที่โดดเด่นในการกำหนดวิธีการดำเนินการสำหรับประชาคมระหว่างประเทศ การกำหนดสิ่งที่เรียกว่าระเบียบตามกฎของตน กลายเป็นแรงผลักดันเพิ่มขึ้นทั่วโลกเพื่อสร้างความยุติธรรมและระเบียบโลกหลายขั้วอำนาจ
นาทัลยา สติออพคินา(Natalya Styopkina) ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสถานทูตรัสเซียในจีนและผู้แทนถาวรของรัสเซียประจำสำนักเลขาธิการ ขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) กล่าวเมื่อเช้าวันนี้สอดคล้องกับมุมมองของเมดเวเดฟว่า “หลักการพื้นฐานของกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ มีลักษณะที่เป็นสากลและดึงดูดใจประเทศส่วนใหญ่
ทูตรัสเซียกล่าวเสริมว่า “หลักการที่อิงตามความร่วมมือภายในกลุ่ม BRICS ได้แก่ ข้อผูกพันต่อกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติ การเคารพซึ่งกันและกัน การเคารพผลประโยชน์ของผู้มีส่วนร่วมทุกคน ความเท่าเทียมกัน และการไม่มีวาระซ่อนเร้น เหล่านี้เป็นหลักการสากลที่ดึงดูดใจคนส่วนใหญ่ ของประเทศต่างๆ”
Styopkina กล่าวในงาน Global Peace Forum ครั้งที่ ๑๑ ที่กรุงปักกิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ว่า “ผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์หลักของกลุ่ม BRICS สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งไม่พยายามยัดเยียดค่านิยมของตนให้กับผู้อื่นหรืออ้างสิทธิ์ในการครอบงำโลก”
BRICS ขยายและเติบใหญ่ในอัตราเร่ง ขณะที่กลุ่ม G7 ฐานหลักทางเศรษฐกิจของเมกากำลังตกต่ำลงเรื่อยๆทั้งสถานภาพและความเชื่อถือ เมกาฯจึงพาพวกดิ้นอาละวาดไปทั่วหลายจุดในภูมิภาคต่างๆทั่วโลกและนี่คือปัจจัยของสงครามใหญ่ที่ยากจะหลีกเลี่ยง!!??