จากที่ พรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีหนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2566 แจ้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อประชุมครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ในวันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.30 น.
ทั้งนี้โดยมีระเบียบวาระการประชุม ประกอบด้วย 1. การให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ 2. เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร 3. เลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ล่าสุดวันนี้ 03 กรกฏาคม 2566 ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่าน Blockdit นำเสนอความคิดเห็น “หากพิธาไม่ได้เป็นนายกฯ ประชาชนกลุ่มไหนจะลงถนนประท้วง?:
ในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่ผ่านมา ผมไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เกือบเที่ยงครับ ไปเจอคนรู้จักที่สนิทกัน ๒ คน อาศัยอยู่ในละแวกหมู่บ้านที่ผมอยู่นั่นแหละและช่างซ่อมท่อประปาที่เคยใช้บริการอีก ๑ คน
สองคนที่รู้จักนั้นเป็นเสื้อเหลืองเก่าแต่หันไปเลือกพิธา เพราะว่าอยากจะได้เงินเลี้ยงชีพ ๓,๐๐๐ บาทเมื่อตัวเองชราลง ส่วนช่างซ่อมท่อประปานั้นเลือกพิธาเพราะอยากให้ค่าแรงขั้นต่ำสูงขึ้น ไม่มีใครเลือกคุณพิธาเพราะอยากจะให้ไปแก้มาตรา ๑๑๒ เลย
จากจำนวน ๑๔ ล้านคะแนนเสียงที่พรรคก้าวไกลได้มาและอ้างอยู่ประจำ ไม่รู้ว่าสัดส่วนคนที่เลือกเพราะ ๓,๐๐๐ บาท หรือ ค่าแรงขั้นต่ำจะมีกี่คนนะครับ น่าจะมาก กว่ากลุ่มอื่นๆ เพราะทำให้ก้าวไกลได้คะแนนเสียงชนะคู่แข่งขาดลอย
จาก ๑๔ ล้านเสียงนี้ ผมขอเดาเอาแบบส่งเดชว่าน่าจะมีคนเลือกเพราะหวัง ๓,๐๐๐ บาทตอนแก่เสีย ๗ ล้านคน เลือกเพราะอยากได้ค่าแรงขั้นต่ำสูงขึ้นซึ่งเป็นระดับกรรมกรหรือช่างทั่วไปอีก ๖ ล้านคน คนในกรุงและหนุ่มสาวมหาวิทยาลัยทั่วประเทศเลือกพิธาเพราะหน้าตาดีมาจากตระกูลมั่งคั่งดีอีกราว ๘ แสนคน
เหลือคนที่เลือกพิธาเพราะอยากจะแก้มาตรา ๑๑๒ อยู่จริงๆ น่าจะไม่เกิน ๒ แสนคนหรือน้อยกว่านั้นมาก แค่เดาเอานะครับถ้าพิธาไม่ได้เป็นคนจัดตั้งรัฐบาลและไม่ได้เป็นนายก คนที่เจ็บปวดหัวใจมากที่สุดจนอยากจะลงถนนประท้วงให้เขาน่าจะเป็น ๒ แสนคนทั่วประเทศนี่แหละครับ แต่มาชุมนุมจริงๆ จะถึง ๕ หมื่นคนหรือปล่าวก็ไม่รู้”
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง โหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีผ่าทางตันเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ว่า
ส่วนตัวไม่ได้มีนโยบายหรือความคิดตรงกันกับพรรคก้าวไกล จะไปอยู่กับเขาได้อย่างไร เขาได้คะแนน 30% ของผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมด 14 ล้านเสียง ได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องถามกลับ
ประชาชนเลือกเขามาถึงจะล้านเสียง 2 ล้านเสียงก็เลือกเขามาในนโยบายนี้ แล้วจะไปช่วยคนที่นโยบายไม่เหมือนกันแล้วจะไปอยู่อย่างไร เขามีแค่ 14 ล้านเสียง แต่คนเลือกตั้งมี 40 ล้านเสียง แล้วถ้าคนที่เขาเลือกผมมา 4 ล้านเสียง เพราะเขาไม่เอานโยบายพรรคของคุณพิธา
ถ้าผมโหวตให้คุณพิธาแล้วผมจะกลับบ้านได้อย่างไร ถูกไหมครับ ต้องพูดความจริงกันสิ สื่อมวลชนอย่าหลงกลเขา ต้องให้ความจริงสะท้อนเป็นกระจกให้เขาฟัง อย่าให้เขามองว่า เดี๋ยวจะเอาตรงนั้นออกมาช่วยตรงนี้ ตรงนั้นจะออกมากดดัน เขามีแค่กี่เปอร์เซ็นต์ มี 14 ล้านเสียง” นายสุชาติ กล่าว