จากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน แถลงขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยรายใหม่ 9 ราย สะสม 2,931 ราย เสียชีวิตสะสม 52 ราย หายแล้ว 2,609 ราย
ขณะที่วันนี้ (27 เม.ย.63) แหล่งข่าวจากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผย ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาและไปจัดทำข้อกำหนดว่าจะมีการผ่อนปรนในเรื่องใดบ้าง โดยเริ่มจากกิจการสีขาวไปก่อน เมื่อได้ความชัดเจนจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 28 เมษายนนี้
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะประกาศต่อไป โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม หรือ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป เช่น ร้านอาหารขนาดเล็กที่ไม่ติดแอร์ ตลาดสด ตลาดนัด ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม และห้างสรรพสินค้า
ซึ่งจะมีรูปแบบกำหนดให้ว่า หากเปิดกิจการแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง มาตรการผ่อนปรนที่จะออกมาจะใช้ทั่วประเทศ โดยจะแบ่งเป็นประเภทกิจการ เป็นการทยอยปลดล็อกไปทีละขั้น ซึ่งจะมีการประเมินผลทุก 14 วัน ขณะสถานบันเทิงจะพิจารณาหลังจากกลุ่มที่เสี่ยงน้อยไปแล้ว โดยจะทยอยเสี่ยงน้อยที่สุด เสี่ยงปานกลาง ไปจนถึงกลุ่มที่เสี่ยงมาก
ทั้งนี้จะพิจารณาเป็นลำดับไป โดยกระทรวงสาธารณสุข จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ที่จะดูแลทั่วประเทศ หากจังหวัดไหนผ่อนปรนแล้ว และประเมินผลไม่ผ่านก็จะกลับมาเข้มอีก ด้านมาตรการเคอร์ฟิว ในแต่ละพื้นที่ให้ยึดตามประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉิน พรก.ฉุกเฉิน คือ เวลา 22.00 น.-04.00 น.
นอกจากนี้แหล่งข่าว ยังระบุอีกว่า กระทรวงสาธารณสุข ยังเป็นห่วงผลกระทบจากมาตรการค้นหาเชิงรุก ที่ยังมีพบในพื้นที่ต่างๆ เช่น ศูนย์กักกันแรงงานที่ จ.สงขลา จึงมีการสนับสนุนให้ค้นหาเชิงรุกต่อ โดยเพิ่มกลุ่มของโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไป เมื่อมีการผ่อนปรนให้กลับไปทำงานก็อาจจะมีความเสี่ยงจากการรวมกลุ่มกันเกิดขึ้นอีก
“พลเอกประยุทธ์ ได้เน้นย้ำเรื่อง สาธารณสุขนำเศรษฐกิจ โดยให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดต่ำลงอย่างนี้ แต่ก็เข้าใจถึงปัญหาเรื่องเศรษฐกิจขณะนี้ จึงผ่อนปรนมาตรการลง ในขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรักษาตัวอยู่ไม่ถึง 300 คน จากจำนวน 2,000 กว่าคน ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการเว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย พร้อมกำชับให้กระทรวงมหาดไทย เข้าไปช่วยดูเรื่องการจัดระเบียบการแจกสิ่งของต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรการ ให้มีการเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อ
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรการเคอร์ฟิว ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ชี้แจงผลการดำเนินงานและการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่พบว่า 70% ขึ้นไป เห็นด้วยให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเคอร์ฟิว โดยเห็นชอบให้ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 30 วัน