สภาพสหรัฐอเมริกาในวันนี้ ทั้งหนี้สาธารณท่วม-แบงก์ล่ม-บารมีแป้ก คำพูดคำสัญญาของเมกาไร้ความหมายเสื่อมอำนาจบารมีลงทุกวัน ที่สำคัญแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ปัญหาหนี้ที่ไร้ทางออกมีแนวโน้มผลักดันความพยายามของสหรัฐฯในการแก้ไขความสัมพันธ์กับจีน
แต่นี่เป็นเพียงสภาพชั่วคราวที่ทำให้โลกหายใจทั่วท้องไปได้อีกระยะหนึ่ง เพราะหลังการเยือนจีนของรมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน ประเด็นร้อนที่เปราะบางในความขัดแย้งสหรัฐฯและจีนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำกลับถึงบ้านโดนลูกพี่เฉ่งออกสื่อว่า ทำงานได้แย่มากแม้จะบอกว่าเมกามาถูกทางก็ตาม สำหรับสื่อหลักทั้งเมกาและจีนพากันอวยใหญ่ว่า เป็นสัญญาณบวกที่ความสัมพันธ์สหรัฐฯและจีนจะกลับมาเป็นปกติได้อย่างน้อยก็มีช่องทาง
ไม่ทันไร ไบเดนก็ให้สัมภาษณ์สื่อว่า สี จิ้นผิงเป็นเผด็จการและเย้ยหยันกรณีสหรัฐยิงบอลลูนของจีนว่าทำให้สีอารมณ์เสียได้ แบบนี้มองไม่เห็นว่าจะกลับมาคืนดีได้แบบไหน การเคลื่อนไหวล่าสุดที่ไบเดนส่งบลิงเคนไปพบสี นักการเงินตะวันตกได้วิเคราะห์ไว้น่าสนใจว่ามีเหตุผลเบื้องหลังที่เกี่ยวกับปัญหาหนี้สินและเงินดอลลาร์ที่เสื่อมความน่าเชื่อถือลงทุกวัน
วันที่ ๒๑ มิ.ย.๒๕๖๖ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกรายงานว่า อเล็กซ์ ไครเนอร์(Alex Krainer) นักวิเคราะห์ผู้ก่อตั้งสถาบันไครเนอร์ อนาไลติกส์ (Krainer Analytics) กล่าวว่า “วอชิงตันเริ่มรู้สึกกดดันจากการที่จีนถอนการสนับสนุนเงินดอลลาร์และการขาดดุลมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐฯ”
ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ มิถุนายนที่ผ่านมา Blinkenเยือนจีนเพื่อพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง รวมทั้ง ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการต่างประเทศกลางของ CCP หวัง อี้ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ในระหว่างการเยือน บลิงเคนได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาช่องทางการสื่อสารแบบเปิด และระบุชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะจัดการแข่งขันด้วยความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไปเป็นความขัดแย้ง
ไครเนอร์กล่าวว่า “สหรัฐฯ รู้สึกว่าตัวเองถูกบีบคั้นและอาจจำเป็นต้องทำดีกับจีน” “สหรัฐฯเข้ามุมกับจีน พวกเขาต้องการทำสิ่งปกติที่สั่นคลอนและเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของจีน เว้นแต่ว่าจีนยังคงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสองของสหรัฐฯ และจีนได้กำจัดหนี้สหรัฐฯด้วยวิธีค่อนข้างรุนแรงในช่วงสองปีที่ผ่านมา”
ไครเนอร์เตือนว่า “จีนและรัสเซียกำลังเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินประจำชาติมากขึ้นในการค้าของพวกเขา และนั่นได้นำไปสู่อีกหลายประเทศละทิ้งเงินดอลลาร์และก่อให้เกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ”
เขาย้ำว่า “หากชาวจีนยังคงเทขายคลังสมบัติของสหรัฐฯต่อไป พวกเขาอาจกดราคา กดดันให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และกระตุ้นการเทขายโดยชาติอื่นๆเช่นกัน นี่เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดที่สหรัฐฯกำลังเผชิญ”
อิวาน เอแลนด์(Ivan Eland) ประธานสถาบันอิสระเพื่อสันติภาพและเสรีภาพ เชื่อว่าการเดินทางของ Blinken มีวัตถุประสงค์เพื่อยุติความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งที่ตกต่ำไม่ให้แย่ลงไปอีก
เขากล่าวว่า “ฝ่ายบริหารของ Biden กังวลว่าความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับจีนกำลังจมดิ่งสู่ระดับที่เป็นอันตราย การพบกับ Xi นั้นเป็นสิ่งที่น่าจดจำแต่ไม่ได้สร้างความก้าวหน้าที่จับต้องได้มากนัก ดูเหมือนจะหยุดความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ตกต่ำลงได้บ้าง ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆละลายอาจก่อตัวขึ้นอีกได้ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าที่สำคัญใดๆ ในการกลบเกลื่อนแหล่งที่มาของความเป็นปรปักษ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นอีก”
เขาเตือนว่า“มีแนวโน้มว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจจะกระเตื้องดีขึ้น แต่ยังไม่มีข้อตกลงของจีนสำหรับความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองกองทัพที่ดีขึ้น รวมถึงการลดความขัดแย้งของปฏิบัติการทางทหารแต่อย่างใด”
การเดินทางของ Blinken เกิดขึ้นในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนพุ่งสูงขึ้นไปอีก เนื่องจากวอชิงตันยังคงอนุมัติแพ็คเกจความช่วยเหลือทางทหารสำหรับไต้หวัน ปักกิ่งต่อต้านการติดต่ออย่างเป็นทางการของรัฐต่างประเทศใดๆ กับไทเป และถือว่าอำนาจอธิปไตยของจีนเหนือเกาะนี้ไม่อาจโต้แย้งได้
Blinken กล่าวในการบรรยายสรุปว่า สหรัฐฯ ไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน ซึ่งเป็นการแสดงต่อสาธารณชนที่สร้างความเดือดดาลให้สมาชิกสภาคองเกรสที่โกรธแค้น แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว นักการทูตระดับสูงของสหรัฐฯ จะย้ำจุดยืนอย่างเป็นทางการของวอชิงตันเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งการกระทำเป็นอีกแบบ
วุฒิสมาชิกสหรัฐมาร์ชา แบล็คเบิร์น(Marsha Blackburn)จากรัฐเทนเนสซี พรรค รีพับลิกัน ทวีตอย่างโกรธเกรี้ยวว่าฝ่ายบริหารของ Biden ล้มเหลวในการ “ยืนหยัด” กับจีน ในขณะที่สมาชิกรัฐสภาอีกคน เบน คลีน (Ben Cline) (R-VA) เรียกถ้อยแถลงของ Blinken ว่า “เป็นการแสดงความอ่อนแอที่อันตรายบนเวทีโลก”
เจอราลด์ เซเลนเต(Gerald Celente) ผู้จัดพิมพ์ Trend Research Journal และอดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Wall Street กล่าวว่า “สหรัฐฯน้อมรับต่อแรงกดดันจากจีน เพราะธุรกิจมีความสำคัญมากกว่า “การเพิ่มความขัดแย้ง”
แต่ในแง่ของอนาคตศาสตราจารย์ไมเคิล เบรนเนอร์ (Michael Brenner) ด้านกิจการระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัย Pittsburgh เชื่อว่าจะไม่มีการเจรจาอย่างจริงจังหากสหรัฐฯ ยังคงทำสงครามทางเศรษฐกิจกับจีนต่อไป แม้จะต้องการแนวทางใหม่ แต่เหยี่ยวในสภาคองเกรสและทำเนียบขาวจะยังคงดำเนินไปตามเส้นทางเดิม เขาย้ำว่า”นีโอคอนไม่มีเกียร์ถอยหลังหรือปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงที่ไม่สะดวกสบายอย่างแน่นอน”