จากที่มีรายงานถึงกองกำลังผสมได้บุกเข้าแนวหน้าเพื่อหวังทลายแนวกั้นของกองทัพรัสเซียในยูเครน แต่ผลปรากฏว่าเจอป้อมปราการที่แข็งแกร่งไม่สามารถฝ่าทะลวงไปได้ ทั้งยังส่งผลต่อยุทโธปกรณ์และกำลังพลสูญเสียอีกด้วย
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 มีรายงานความเคลื่อนไหวของฝ่ายสัมพันธมิตรยูเครนอย่างน่าสนใจ โดย Blockdit World Update ได้เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า
“แม้สหรัฐ จะระดมชาติ NATO และบริวาร 50 ชาติในนาม ฝ่ายสัมพันธมิตร เคลื่อนพล คลื่นมนุษย์ บุกชายแดนชั้นแรกในแคว้นซาโปโรซี เขตโดเนตสค์ และลูฮันสค์ ของรัสเซีย ขึ้นสัปดาห์ที่ 2 แล้ว แต่กลับโดนสวนกลับทัพแตกถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่า
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ระบุว่ายังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ผลการรบที่แน่นอน แต่สหรัฐยังมองโลกในแง่ดีว่าการบุกจะประสบความสำเร็จสามารถยึดพื้นที่รัสเซียปกครองทั้ง 4 ดินแดนได้ทั้งหมด เพื่อบังคับให้รัสเซียยอมแพ้และเจรจา
ทหารฝ่ายสัมพันธมิตร รายหนึ่ง บอกกับสื่อตะวันตกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร และยูเครน ต้องการตลุยบุกผ่านและตัดพื้นที่เชื่อมต่อทางบกที่เชื่อมต่อระหว่างรัสเซีย กับแคว้นไครเมีย แต่กองทัพรัสเซีย ใช้เวลาหลายเดือนในการเตรียมพร้อม
สร้างแนวป้องกันด่านหน้าหลายชั้นในพื้นที่ปกครอง 4 ดินแดน ทหารรัสเซียรอเราอยู่ พวกเขาเตรียมพร้อมทุกตำแหน่ง มันเป็นกำแพงเหล็กแข็งแกร่งที่น่ากลัวมาก
กองทัพสัมพันธมิตรในยูเครน ประเมินอาวุธยุทโธปกรณ์มหาเทพของ NATO หลังจากการเริ่มตลุยบุกชายแดนชั้นแรกรัสเซีย ผิดหวังกับยานเกราะ หลายคนเรียกรถถังว่า ดัมมี่ หรือของปลอม เนื่องจากประสิทธิภาพต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีของสหภาพโซเวียต
จากการทำการประเมินโดยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึกกับทหารผ่านศึกกองทัพสหภาพโซเวียต รัสเซีย ยูเครน ผู้ซึ่งเคยไปรบในสงครามโคโซโว เซอร์เบีย และใช้งานยุทโธปกรณ์ NATO แล้วเปรียบเทียบ ได้ข้อสรุปว่า
– รถถังเทพ Leopard 1 เยอรมนี การป้องกันกระสุนอ่อนแอ ถ้าโดนยิงใส่ ทหารในรถไม่มีโอกาสรอด – รถถังเทพ Leopard 2 เยอรมนี ดัดแปลงเฉพาะสำหรับการต่อสู้รถถังประจันบานด้วยกันถ้าใช้งานอื่น เช่น เคลื่อนพลโดนถล่มยับ
– ยานเกราะเทพ BMP Bradley สหรัฐ ใช้พื้นที่ขรุขระความเร็วจะลดลงอย่างมาก สูงสุดแค่ 20 กม./ ชม.ช้าปานเต่าเดิน จึงกลายเป็นเป้าง่าย – ยานเกราะเทพ BBM Stryker อังกฤษ อ่อนแอจัดแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเคลื่อนไหวในสภาพที่เป็นโคลน ติดหล่มนิ่งสนิท
วันที่ผ่านมาผู้บังคับหมวดทหารฝ่ายสัมพันธมิตร ในเขตป่า Avdiivka ยูเครนตะวันออก ที่เกิดการสู้รบกับกองทัพรัสเซียมานานหลายเดือน เขาได้วิทยุติดต่อกับหน่วยทหารกองทัพรัสเซีย ขอจำนนยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
โดยให้เหตุผลว่า โดนปิดล้อม แล้วถล่มปืนใหญ่ใส่อย่างหนัก จึงขาดแคลนอาวุธกระสุน เสบียงอาหาร ส่งกำลังบำรุงไม่ได้ มีทหารบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก อดอยากหิวโหย
เขาต้องการช่วยชีวิตทหาร ที่บาดเจ็บและเหนื่อยล้าจำนวนมากถึง 300 คน จึงขอเปิดเจรจากับหน่วยทหารรัสเซียโดยขับรถยานเกราะ BMP พร้อมอาวุธ และกำลังพลมายกมือยอมแพ้ ในระยะประชิดราว 120 เมตร ทางหน่วยทหารรัสเซีย จึงจับเป็นเชลยศึก ให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตามหลักมนุษยธรรม”