สนธิญาณถามลุงตู่เชื่อไหม? ประธานธิบดีปูติน เชื่อร.๙ นำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ยืนด้วยขาตัวเอง พลิกรัสเซียชนะฝรั่ง
ในรายการ “ทิศทางไทยในช่วงเวลา 00.00 กับ สนธิญาณ” ทางช่องสถาบันทิศทางไทย เผยแพร่ผ่านทางยูทูป ทางด้าน “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเทียบเชิญ 20มหาเศรษฐีของไทยร่วมทีมปรเทศไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมากจากพิษโควิด-19ของไทยระบุว่า..
วันนี้เจตนาที่จะส่งตรงถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุงตู่ เป็นสิ่งที่ทำยอดที่สุดที่ลุงตู่คิดเชิญเศรษฐี 20 กว่าคนมาให้ความคิดในการพัฒนาประเทศแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในการดูแลประเทศต่อไปกำจัดภัยโควิด-19 ผ่านพ้น รวมทั้งการที่จะไปพบกับนักธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจต่างๆเพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูล
แต่วันนี้มีคนคนหนึ่ง ที่ตนอยากให้คนไทยและพลเอกประยุทธ์จะต้องฟังบุคคลคนนี้ซึ่งไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเป็นคนสำคัญระดับโลกเป็นผู้นำของโลกคนหนึ่งซึ่งก็คือประธานาธิบดีของรัสเซีย “วลาดิมีร์ ปูติน”
“สนธิญาณ”ย้ำว่าลุงตู่จะต้องฟัง ประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลใหญ่ถึง 10,000,000 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าประเทศไทย 20 เท่า ในขณะที่ประชากรรัสเซียมีประมาณ140กว่าล้านคน ส่วนไทย มีประชากร 70ล้านคน พื้นที่ใหญ่กว่าไทย 20 เท่าแต่มีประชากรมากกว่าไทยเพียง1เท่าตัว และต้องไม่ลืมว่ารัสเซียเป็นมหาอำนาจ จ้าวโลกคนหนึ่ง
สำหรับสิ่งที่ต้องฟังปูติน.. คือประเทศรัสเซียแม้จะกว้างใหญ่ไพศาลและพื้นที่ทุรกันดารแห้งแล้ง มีแต่ความหนาวปลุกคุม สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง “ฮิตเลอร์” บุกขยี้รัสเซีย ไปติดความหนาวติดหิมะทำให้รบพ่ายแพ้รัสเซีย จนกองทัพแดงของรัสเซียยาตรากลับมาในยุโรปถล่มเยอรมนีจนถล่มทลาย ความหนาวเย็นไว้ใช้เป็นจุดแข็งในสงคราม แต่กลายเป็นจุดอ่อนในการดำรงชีพขอบประชาชนคนรัสเซีย
“สนธิญาณ” กล่าวต่อ รัสเซียมีรายได้หลักมาจากการขายน้ำมันและแร่ธาตุ กับการประกอบอุตสาหกรรม ปัญหาที่รัสเซียเจอมาตลอดก็คือปัญหาของผลผลิตด้านเกษตรกรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้รัสเซียกลายมาเป็นเบี้ยล่างของสหรัฐอเมริกาที่จับมือกับซาอุ ในการผลิตน้ำมัน เมื่อรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ แต่เวลาค้าขายจะต้องอิงกับเงินดอลล่าร์ ซึ่งเงินรูเบิลแทบไม่มีความหมาย นี่เป็นความเจ็บช้ำเจ็บปวดของรัสเซียมาโดยตลอด
และแล้ววันนึงปรากฏว่ารัสเซียกับสหรัฐซึ่งแข่งขันกันจะเป็นจ้าวโลกมีปัญหากันเรื่องยูเครน และสหรัฐฯไปบีบกลุ่มอียูหรือยุโรปยืนอยู่ข้างสหรัฐให้บอยคอร์ดรัสเซียโดยการไม่ซื้อน้ำมันสินค้าหลักที่เลี้ยงประเทศรัสเซีย เมื่ออียูไม่ซื้อน้ำมันที่เป็นหลักของรัสเซียทรุดกระทบกับค่าเงินรูเบิลตกต่ำลงทันที
แต่ในระหว่างนั้นสถานการณ์โลกจีนกับรัสเซียกำลังจับมือการแข่งขันกับสหรัฐ จีนจึงยื่นมือช่วยเหลือรัสเซีย อียูไม่ซื้อไม่เป็นไร จีนซึ่งใช้น้ำมันสูงมากวันละ 8,000,000 บาร์เรล กลายเป็นผู้ใช้น้ำมันอันดับหนึ่งของโลกจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตยินดีที่จะเข้าไปซื้อน้ำมันของรัสเซียซึ่งรัสเซียจะซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากจีนขณะเดียวกันรัสเซียก็กลับไปบอยคอร์ดอียูไม่ซื้อพืชผักผลไม้จากอียู ทำให้อียูทรุดกะจะบอยคอร์ดเขาในเรื่องน้ำมัน อียูกลับทรุดเองสหรัฐก็ช่วยอะไรไม่ได้ขณะที่จีนกับรัสเซียผนึกแน่นเพราะการค้าขายระหว่างจีนกับรัสเซียไม่ได้ใช้เงินดอลล่าร์ใช้งานรูเบิลกับเงินหยวน
“สนธิญาณ” เล่าต่อมาว่า มาถึงจุดนี้มาถึงเรื่องสำคัญ หลังจากนั้นรัสเซียกลับไปยืนหยัดบนขาของตัวเอง จากที่เคยซื้อพืชผักผลไม้ วันนี้รัสเซียกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งไม่ธรรมดา การที่ส่งออกแบบนี้ได้เนื่องจากรัสเซียได้สร้างนโยบายในการพึ่งพาตัวเองที่เรียก Russis’s nationnal security strategy t0 2020 โดยวางเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของรัสเซียให้กลายเป็นเศรษฐกิจพึ่งตนเองหรือเศรษฐกิจพอเพียง โดยกำหนดก็หมายในการผลิตทางการเกษตรแบบยังยืนให้ลุล่วงภายในปี 2020 ให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตธัญพืช มันฝรั่ง ที่ต้องการให้ตอบสนองภายในประเทศให้ได้ถึง90% ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ให้ได้ถึง85% น้ำตาลน้ำมันพืชต้องไม่น้อยกว่า 80% ของความต้องการภายในประเทศและวันนี้รัสเซียและประสบความสำเร็จไม่พึ่งพิงต่างชาติ
ลุงตู่ทราบไหมว่ารัสเซียได้ความคิดนี้มาจากใคร ซึ่งมาจากพ่อหลวง ร.9 เป็นความจริงลองพิจารณาถ้อยคำของประธานาธิบดีปูติน ..“สนธิญาณ”กล่าว
ประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวถึงบุญคุณที่พระเจ้าอยู่หัว ร.9 ได้แนะนำให้กับประเทศรัสเซียระบุว่าผมชอบนิสัยคนไทยตรงที่มีจิตใจดีมีเมตตาเอื้อเฟื้อแม้กับคนที่ไม่ใช่ญาติโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนลักษณะอย่างนี้หาได้ยากในชาติตะวันตกผมมีทัศนคติที่ดีต่อคนไทยมานานแล้วครับตั้งแต่ผมพบเพื่อนคนไทยคนนี้
หลังจากนั้นอีกนานผมได้เป็นประธานาธิบดีมีโอกาสเข้าพบking bhumibol ผมได้รับความเมตตาจากท่านมากมายหลายอย่าง ท่านให้คำแนะนำเรื่องการเกษตรกับผม เรื่องน้ำ เรื่องการส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งพาตนเองในเรื่องอาหาร ทรงมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าผมจะต้องสู้กับพวกตะวันตก และเรื่องอาหารจะเป็นจุดอ่อนของประเทศรัสเซีย เพราะเราไม่เคยศึกษาพัฒนาการเกษตรอย่างจริงจังเลย พอเรามีเงินเราก็สั่งเข้ามาอย่างเดียว
king bhumibol ท่านบอกว่า ถ้าซื้อเขามากินอย่างเดียว ไม่เคยทำเอง ถ้าเขาไม่ขายให้เรา เราจะทำอย่างไร ประชาชนอดอยากก็โทษรัฐบาล และรัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ รัฐบาลไม่ดีก็ช่างเถิด แต่ถ้าเป็นรัฐบาบที่ดีจะต้องถูกไล่เพราะหาอาหารให้ประชาชนไม่ได้อย่างนั้นหรือการแจกเงินให้ประชาชนเป็นการซื้อเสียงวิธีหนึ่ง ได้เงินไปไม่ได้มากอะไร ไม่สามารถนำเงินนั้นไปเป็นเงินทุนทำมาหากินได้ แต่เอาไปใช้จ่ายสนุกสนานเดี๋ยวก็หมด
รัสเซียมีที่ดินมากมาย ผมถึงริเริ่มแจกที่ดินแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ที่คนทั่วไปยังยึดติดว่าที่นั่นเป็นที่กันดาร เคยเป็นคุก เพาะปลูกไม่ได้เพราะอากาศหนาวจัดดินแข็ง แต่ king bhumibol ท่านยืนยันว่าทำได้ทุกแห่ง ไม่ว่าอากาศหนาวหรือร้อน ถ้าเราศึกษาอย่างจริงจัง วิเคราะห์ดิน แหล่งน้ำ พืชพันธุ์ที่ทนอากาศหนาวจัดได้มีอะไรบ้าง หน้าร้อนอุณหภูมิเฉลี่ยเท่าไร กินเวลากี่เดือน เราควรปลูกอะไรที่ให้ผลในภูมิอากาศแบบนั้น ผมเดินทางไปที่นั่นด้วยตนเอง พานักวิชาการเกษตรไปด้วย เราเริ่มวิจัยลักษณะดิน หาแหล่งน้ำเตรียมไว้ มาลงตัวที่ข้าวสาลี ที่เราใช้เป็นอาหารหลัก ยุโรปก็ใช้ ผมเริ่มสนับสนุนปลูกข้าวสาลีเป็นบริเวณกว้าง
รัสเซียมีประชากร 143,500,000 คนประมาณนี้ เริ่มแรกเราทำให้พอกินในประเทศก่อน ลองดูครับ แรกๆก็พอบริโภคในแต่ละปีเท่านั้น พอเราถูก Sanction อาหารหลายชนิดขาดแคลน รวมทั้งเนื้อสัตว์ด้วย รัฐบาลก็ช่วยให้ทุนแก่เกษตรกรไปเพาะปลูกพวกมันฝรั่ง ข้าวสาลี ข้าวโพด มากขึ้น จนกระทั่งปี 2016 รัสเซียมีข้าวสาลีใช้ในประเทศจนเหลือส่งออกไปขายได้ ปัจจุบันรัสเซียส่งออกข้าวสาลีได้มากที่สุดในโลก เป็นเพราะบุญคุณของ king bhumibol ครับ…นี่เป็นถ้อยคำของประธานาธิบดีปูติน
ฝากลุงตู่วิกฤตโควิดนี้เราจะต้องพลิกสถานการณ์ ของประเทศเราซึ่งมีความพร้อมกว่ารัสเซียมากมาย ผู้นำระดับโลกยังเชื่อมั่นน่ะฟังพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณของเราผมหวังว่าลุงตู่จะฟังและทำอย่างจริงจังหรือความเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจังเหมือนที่ประธานาธิบดีปูตินเข้าใจ