เอาแล้ว! ทนายดังยื่นดาบสอง หอบหลักฐาน ส่ง”อสส.” ชงศาลรธน. สั่ง พิธา-ก้าวไกล หยุดใช้เสรีภาพ ล้มล้างการปกครอง?
จากกรณีเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่อง ขอให้ตรวจสอบพรรคก้าวไกล กรณีที่พรรคก้าวไกลได้ดำเนินการเพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสำเร็จ ซึ่งเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 (1) (2) หรือไม่
ล่าสุดวันนี้ 30 พฤษภาคม 2566 มีรายงานว่า นายธีรยุทธ ได้แถลงว่า กระผม นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องขอต่ออัยการสูงสุดเพื่อขอท่านได้โปรดพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งการให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง
ด้วยกระผมเห็นได้ว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง กระทำการในลักษณะครบองค์ประกอบความผิดตามแนวบรรทัดฐานคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 เกี่ยวกับกรณีที่กลุ่มบุคคลและองค์กรเครือข่ายได้เสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางกระทบกระเทือนถึงสถาบันหลักของชาติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญโปรดมีคำสั่งให้กลุ่มบุคคลและองค์กรเครือข่ายเหล่านั้นเลิกกระทำการอันจะกระบกระเทือนถึงสถาบันหลักของชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อเป็นการหยุดยั้งมิให้เกิดการรุกลามจนเป็นอันตรายแก่สถาบันหลักของชาติ
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 โปรดวางแนวบรรทัดฐานไว้ในหน้าที่ 45 ความว่า “การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเรียกร้องเพื่อให้มีการ…ยกเลิกกฎหมายที่ห้ามผู้ใดล่วงละเมิด หมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่อยู่ในสถานะที่เคารพสักการะอันนำไปสู่การสร้างความปั่นป่วนและความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่เกินความพอเหมาะพอควรโดยมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และจะนำไปสู่การบ่อนทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด”
ในหน้าที่ 47 ถึง 48 โปรดวางบรรทัดฐานอีกว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าจะโดยวิธีการพูด การเขียน หรือการกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้อ่อนแอลงย่อมแสดงให้เห็น ถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์”
และด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่บัญญัติว่า“คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”
ดังนั้น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญข้างต้นจึงเป็นบรรทัดฐานมีผลผูกพันว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเรียกร้องเพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องทั้งสองได้กระทำการเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และยังยืนยันว่ายังดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไปจนกว่าจะยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สำเร็จ
อีกทั้งยังได้นำเรื่องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เผยแพร่รณรงค์โฆษณาใน เพจเฟสบุ๊คของพรรคก้าวไกลผู้ถูกร้องที่ 2 ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นนโยบายของพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน เป็นนโยบายที่จะต้องดำเนินการให้สำเร็จ และผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำนโยบายการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเสนอเผยแพร่อย่างกว้างขวางในเวทีดีเบตและในเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งและผู้ถูกร้องที่ 1 นำเรื่องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้สัมภาษณ์สื่อสารมวลชนทั้งในประเทศและนอกประเทศหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน
การดำเนินการดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่เกินความพอเหมาะพอควรมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และจะนำไปสู่การบ่อนทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลเล็งเห็นผลให้เกิดเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า สถาบันพระมหากษัตริย์ให้ต้องอ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องทั้งสองมีเจตนาใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
กระผมเห็นว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่เกินความพอเหมาะพอควรมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และจะนำไปสู่การเซาะกร่อนบ่อนทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองโดยมีเจตนาไม่สุจริต
การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ พรรคก้าวไกล ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กระผมจึงขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญยื่นคำร้องฉบับนี้เพื่อกราบเรียนอัยการสูงสุดร้องขอให้โปรดพิจารณาดำเนินการส่งคำร้องขอของผกระผมต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งการนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำการใดเพื่อยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112