จากที่ชาติตะวันตกพากันคว่ำบาตรรัสเซียตามสหรัฐ ก่อนที่บรรดาประเทศเหล่าต้องประสบกับวิกฤตทางเศรษฐกิจและพลังงาน หนี้สินเกินเพดาน กำลังจะพากันล้มละลายนั้น
ล่าสุดวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 Blockdit World Update ได้โพสต์ข้อความรายงานถึงสถานการณ์ของชาติยุโรปโดยเฉพาะสหรัฐที่สวนทางกับรัสเซียว่า
“ฝ่ายระเบียบโลกเก่าขั้วเดียว นำโดยสหรัฐ ยุโรป และบริวาร 40 ชาติ รุมทำสงครามอาวุธ และเศรษฐกิจ กับฝ่ายจัดระเบียบโลกใหม่หลายขั้วรัสเซีย ขึ้นปีที่ 2 ผลปรากฎว่าฝ่ายรุมพ่ายยับเยินทางสงครามอาวุธ และเศรษฐกิจ
สหรัฐอาการหนักสุดถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว หนี้สาธารณะพุ่งล้นเกินเพดาน 31.8 ล้านล้านดอลลาร์ ราว 133% ของ GDP ถังแตกขอกู้ใครเพิ่ม สภาคองเกรสก็ยังไม่ยอมอนุมัติ นั่งรอชะตากรรมผิดนัดชำระหนี้และล้มละลาย ยุโรปแต่ละชาติเศรษฐกิจจมดิ่งกรอบเป็นข้าวเกรียบไปตามๆ กัน
แต่ที่โลกสุดทึ่งคือ รัสเซีย ฝ่ายถูกรุม บริหารการคลังได้อย่างยอดเยี่ยม หนี้ต่างประเทศของรัสเซียลดดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 16.6% ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2545
ในขณะที่ชาติในกลุ่ม BRICS ก็ล้วนหนี้สินต่างชาติลดลงเช่นกัน เช่น จีน ลดลงเหลือ 13.7% , อินเดีย ลดเหลือ 19.1% ของ GDP การที่จีนมีหนี้ในประเทศสูง แต่หนี้ต่างชาติต่ำ ส่งผลให้เงินทุนไม่ไหลออก มีเงินสร้างสะพานเทียบเรือ สะพานใต้ดิน ทางลอดใต้ทะเลนับพันแห่ง ถนน เมืองอัจฉริยะ ฯลฯ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล
พฤษภาคม 2566 ธนาคารโลก รายงานว่า รัสเซีย พลิกล็อค กลับมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกในปี 2565 ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2557
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานว่านอกจากรัสเซียจะมีหนี้สินต่ำมากๆ แต่รายได้ของชาติกลับพุ่งสูงขึ้นสวนทางกัน ส่งผลไปถึงรายได้/หัว/ปี ของชาวรัสเซีย เพิ่มขึ้นเป็น 536,231 บาท/ปี เพิ่มขึ้น 22.3% สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ที่น่าแปลกคือ ประเทศที่คบค้าสมาคม ค้าขายกับรัสเซีย ต่างมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) พุ่งสุดกู่เติบโตทะยานฟ้า เช่น อาร์เมเนีย 40.6% , จอร์เจีย 33.4% , คูเวต 32.7% ฯลฯ
ขณะที่ชาติที่คบค้ายอมเป็นบริวารสหรัฐ ต่างต้องเผชิญวิกฤติหนี้สินต่างประเทศอย่างหนัก เช่น เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร หนี้ต่างชาติสูงโด่งมากที่สุดในกลุ่มเศรษฐกิจยุโรป และไม่รู้ว่าทนกู้หนี้ต่างชาติมาใช้จ่ายอยู่ได้อย่างไรโดยไม่ยอมล้มละลาย เช่น เนเธอร์แลนด์ หนี้ 380.5% , สหราชอาณาจักร หนี้ 287% , สวิตเซอร์แลนด์ หนี้ 280.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
หนี้ต่างชาติสูง ตามติดๆ มาด้วยญี่ปุ่น , สวีเดน , ฮังการี , ฝรั่งเศส , ฟินแลนด์ , ลักเซมเบิร์ก , เยอรมนี และอิตาลี ถ้าเป็นชาติที่ไม่ใช่บริวารสหรัฐ คงถูกจัดให้เป็นประเทศ ล้มละลาย ไปตั้งแต่หนี้ราว 150% ของ GDP เหมือนศรีลังกาไปแล้ว
การที่ฝ่ายระเบียบโลกเก่าขั้วเดียวเงินทุนหดหาย อาวุธถูกรัสเซียทำลายทิ้งฟรีๆ ส่งผลให้เสื่อมอำนาจต่อเศรษฐกิจโลก แต่ส่งเสริมเกื้อหนุนต่อการจัดระเบียบโลกใหม่หลายขั้วยุคโลกาภิวัฒน์
ล่าสุดสื่อ Bloomberg สหรัฐ รายงานว่ามี 30 ประเทศ แห่สมัครเข้าร่วมกลุ่ม BRICS และยังมีสมัครใหม่ทุกสัปดาห์ คือ แอลจีเรีย , อาร์เจนตินา , อัฟกานิสถาน , บังคลาเทศ , บาห์เรน , เบลารุส , เวเนซุเอลา
อียิปต์ , ซิมบับเว , อินโดนีเซีย , อิหร่าน , คาซัคสถาน , เม็กซิโก , ไนจีเรีย , นิการากัว , สหรัฐอาหรับอิมิเรต (UAE) , ปากีสถาน , ซาอุดิอาราเบีย , เซเนกัล , ซีเรีย , ซูดาน , ประเทศไทย , ตูนิเซีย , ตุรกี (ทูร์เคีย) , อุรุกวัย
วิเคราะห์ว่า ในอาเซียน มีสมัคร 2 ชาติ คือ อินโดนีเซีย และไทย ที่มีนโยบายเป็นกลางไผ่ลู่ลมระหว่างประเทศ ถ้าชาติใดยกเลิกนโยบายนี้แล้วเปลี่ยนไปโปรสหรัฐ แต่ฝ่ายเดียว จะเสียโอกาสร่วมกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ BRICS และจัดระเบียบโลกใหม่หลายขั้ว
ส่งผลเสีย GDP ชาติและต่อหัวประชากรจะหดตัว หนี้สินพอกพูนล้นพ้นตัว แนวโน้มเศรษฐกิจชาติจะออกไปโทนวิกฤติร้ายแรงคล้ายสหรัฐ ในเวลานี้แน่นอน”