จากที่พิธา ร่วมลงนามเอ็มโอยูเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ต่อมาแกนนำคณะก้าวหน้า ออกมาค้านระบุถึงเหตุผลสำคัญ ทำให้ประเด็นความขัดแย้ง ไม่ลงรอยระหว่าง2คนนี้กลับมาปะทุอีกครั้ง และถูกจับตาว่าจะส่งผลกระทบต่อกองเชียร์ค่ายสีส้มหรือไม่ด้วย
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ภายหลังจากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงลงนามเอ็มยู จากนั้นในวันเดียวกันนี้ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ไม่เห็นด้วยกับ MOU การร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล สองประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วยกับ MOU การร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนระบุว่า
ผมได้อ่าน MOU การร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกลแล้ว ผมไม่เห็นด้วยในสองประเด็น ซึ่งแตกต่างไปจากเนื้อหาที่ปรากฏในร่าง MOU สุดท้ายที่หลุดออกมาทางสื่อ
ประเด็นแรก การเพิ่มข้อความที่ว่า “ต้องไม่กระทบกับรูปแบบของรัฐ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในสถานะอันเป็นที่สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์”
เหตุผล ข้อความเหล่านี้ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2560 อยู่แล้วว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และรูปแบบของรัฐได้
การบัญญัติข้อความนี้ซ้ำลงไป ไม่ส่งผลใดๆ ในทางกฎหมาย และในทางการเมือง เพราะอย่างไรเสีย รัฐบาลใดที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ และระบอบการปกครองได้อยู่แล้ว ตรงกันข้าม การเขียนลงไปแบบนี้ คือ การแสดงออกแบบ “กินปูนร้อนท้อง” หรือ “วัวสันหลังหวะ” เสียมากกว่า
ประเด็นที่สอง การตัดเรื่องการผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง ผ่านกลไกรัฐสภา ออกไป เหตุผล พรรคก้าวไกลมีพันธกิจสำคัญที่รับมาจากความคาดหวังของประชาชน เยาวชน จำนวนมาก ในการยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่รัฐประหารปี 49 ผ่านเหตุการณ์ปี 53 ผ่านรัฐประหาร 57 และการชุมนุมของ “ราษฎร” ในปี 63-65
การจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้สำเร็จ ต้องใช้กลไกการนิรโทษกรรม ให้กับบุคคลที่ถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมืองเสียก่อน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นายพิธา โพสต์ข้อความผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ครบรอบ 3 ปี ยุบอนาคตใหม่ ความในใจหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ รวมถึงคุณ Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล” มีใจความบางช่วงระบุว่า ผมเห็นว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทางที่จะเกิดขึ้นได้ อยากให้คุณปิยบุตรทบทวนเช่นกัน
1) คุณปิยบุตรต้อง”เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” เลิกทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ ทำตามที่คุณธนาธรเคยขอไว้ กลับมาช่วยกันเท่าที่กฎหมายอนุญาต ทำให้คนที่เคยปรามาสอนาคตใหม่ ก้าวไกล คิดผิด และอนุญาตให้ผมและอีกหลายร้อยชีวิตที่พรรคมีสมาธิในการทำงานโค้งสุดท้าย
หรือ 2) ปล่อยให้เราเสียสมาธิจนเราลืมไปว่าศัตรูตัวจริงของเราคือใคร ทิ้งโอกาสในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ทิ้งหยาดเหงื่อแรงงานของสมาชิกพรรค ทีมงานพรรค และปล่อยให้ 3 ป. ยังสืบทอดอำนาจต่อไป
จากนั้น นายปิยบุตร ได้โพสต์โต้กลับนายพิธา บางส่วนระบุว่า ผมพึ่งได้อ่านที่ “คุณพิธา” เขียน “เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้ผม” ทั้งหมดแล้วครับ เดี๋ยวผมจะทยอยเขียนอธิบายให้ฟังทั้งหมดยาวๆ
ผมไม่อยากพูดเรื่อง “คุณพิธา” เลย ที่ผ่านมา พยายาม วิจารณ์พรรคอย่างตรงไปตรงมา ไม่พูดถึงตัวบุคคล แต่ “คุณพิธา” ก็ให้เกียรติโพสสื่อสารถึงผมโดยตรงขนาดนี้ ก็ถือเสียว่า “คุณพิธา” คงอยากคุยกับผมในที่สาธารณะ
ผมจึงจำเป็นต้องตอบโดยละเอียดทุกประเด็น ประชาชน สมาชิก ผู้สนับสนุนพรรค จะได้รู้เสียทีว่า “คุณพิธา” เอารัดเอาเปรียบ พวกผม ทีมงาน พนักงาน ทีมจังหวัดทั่วประเทศ ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส.เพียงใด ใครกันแน่ “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” ใครกันแน่ “จับเสือมือเปล่า”