จากที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ที่ได้รับเลือกส.ส.มากที่สุด ต่อมาพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคได้แถลงถึงการจัดตั้งรัฐบาล ที่จะเชิญ6พรรคจำนวน 309 เสียงมาร่วมนั้น
ทั้งนี้มีความเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 โดยนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล ว่า นายพิธา มอบหมายให้ตนเป็นตัวแทนพรรคในการประสานงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม โดยจะนัดหมายกันเพื่อพูดคุยเบื้องต้นกับตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคหลัก
เมื่อถามว่ากังวลใจเรื่อง ส.ว.หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ส.ว.ไม่ได้เอกภาพ พรรคก้าวไกลจึงพร้อมจะหารือแลกเปลี่ยน ซึ่งจะมีการติดต่อเข้าไปพูดคุยแน่นอน เชื่อว่า การพูดคุยกันก่อนจะเป็นประโยชน์ที่สุด เพราะความกังวล ไม่สบายใจของ ส.ว. อาจจะเป็นการคิดอยู่ฝั่งเดียว หากได้พูดคุยกันแล้วก็คงจะคลายกังวลกัน
ขณะที่ในวันเดียวนี้ นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ได้ออกมาพูดถึงกรณีฝ่ายการเมืองเรียกร้องให้ ส.ว.โหวตสนับสนุนพรรคก้าวไกล ที่ชนะเลือกตั้ง อันดับ 1 ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยว่า ต้องดูการรวบรวมเสียงของพรรคก้าวไกลจะรวบรวมเสียงได้ 310 เสียงจริงหรือไม่
“ขณะนี้เป็นแค่การพูดฝ่ายเดียวจากพรรคก้าวไกล แต่พรรคอื่นๆ ยังไม่มีใครแสดงเจตจำนงตอบตกลงร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการ หลังจากรวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ส.ว.ก็จะพิจารณานโยบายต่างๆ ของพรรคร่วมรัฐบาล ถ้ามีการยกเลิกหรือ แก้ไขเรื่องสำคัญอย่างมาตรา 112 ตนไม่สามารถโหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีได้แน่
ไม่ใช่แค่เฉพาะนายพิธา แม้แต่เสนอชื่อคนพรรคอื่นเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้ามีนโยบายแตะต้องมาตรา 112 ก็ไม่โหวตให้เช่นกัน การจะเข้ามาบริหารประเทศต้องไม่มีเรื่องกระทบความมั่นคง สถาบัน การบอกว่า แก้ไข แต่ ไม่ยกเลิก เป็นแค่การเล่นคำ
เท่าที่ฟังเสียง ส.ว.ส่วนใหญ่ก็ไม่เอาด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ถ้าปล่อยให้แก้ไขมาตรา 112 คนที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องต่อต้าน เกิดความขัดแย้งวุ่นวายอีกได้เสียงข้างมากอย่าลุแก่อำนาจ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ ส.ว.ไม่โหวตให้เสียงข้างมากได้ครบ 376 เสียง ในการโหวตนายกรัฐมนตรี จะถูกมองเป็นการขัดขวางการตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ก็ให้มองกันไป ส.ว.ไม่ได้คิดว่า รวมเสียงแล้วจะได้เท่าไร แต่อยู่ที่จะใช้อำนาจทำอะไรให้ประเทศ
“อย่าคิดว่า มีเสียงข้างมากแล้วจะเหลิง ลุแก่อำนาจทำอะไรก็ได้ ควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สร้างสามัคคี เพราะคะแนนที่ได้มา ไม่ใช่คะแนนทั้งประเทศ พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 14 ล้านเสียง ก็ไม่ใช่ฉันทามติอะไร เพราะพรรคอื่นๆ ก็ได้คะแนนหลักล้าน เป็นเสียงจากประขาชนเช่นกัน
ถ้าคิดจะสร้างกระแสกดดัน ส.ว.ลงมติให้ตามที่ต้องการ โดยอ้างฉันทามติมาเป็นกระแสกดดัน รับรองว่า ไม่สามารถมากดดันส.ว.ได้ เราพร้อมใช้อำนาจหน้าที่อย่างเหมาะสม ถูกต้อง” นายเสรี กล่าว