ธนาคาร“เฟิสต์ รีพับลิก แบงก์”กลายเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่ถูกยึดโดยหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ผู้เฝ้าระวังทางการเงินของแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า พวกเขาดิ้นรนอย่างหนักก่อนจะถูกซื้อโดย JPMorgan นักเศรษฐศาสตร์มะกันโวยหนักร้องให้เฟดเปลี่ยนนโยบายขึ้นดอกเบี้ยเพราะมันไม่ได้ช่วยหยุดเงินเฟ้อ ส่อพังทั้งระบบและกระทบทั่วโลก
JPMorgan’s takeover of First Republic Bank is a rare opportunity for a big bank to get bigger, as Heard on the Street’s @telisdemos explains. #WSJWhatsNow https://t.co/GHDzsi0cNz pic.twitter.com/SCyw16g53L
— The Wall Street Journal (@WSJ) May 1, 2023
วันที่ ๒ พ.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และโกลบัลไทมส์รายงานว่า ธนาคารอันดับหนึ่งของโลกจากสหรัฐ “เจพี มอร์แกน เชส” ซื้อกิจการสถาบันการเงินขนาดเล็กกว่าอย่าง “เฟิสต์ รีพับลิก แบงก์” เพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับตลาดการเงินของประเทศ
เจพี มอร์แกน เชส วาณิชธนกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อประเมินจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์ก ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ ซื้อกิจการของเฟิสต์ รีพับลิก แบงก์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินระดับภูมิภาคเงื่อนไขสำคัญรวมถึง การที่เจพี มอร์แกน เชส จ่ายเงิน 10,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 361,793.90 ล้านบาท ให้แก่บรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง ( เอฟดีไอซี ) ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของเฟิสต์ รีพับลิก แบงก์ และนำทรัพย์สินทั้งหมดของธนาคารแห่งนี้ออกมาประมูล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะเดียวกัน เจพี มอร์แกน เชส จะเข้าครอบครองเงินฝาก ๙๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐประมาณ ๓.๑๔ ล้านล้านบาท เงินกู้ ๑๗๓,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินไทยประมาณ ๕.๙ ล้านล้านบาท และหลักทรัพย์อีก ๓๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาน ๑.๐๒ ล้านล้านบาท ของเฟิสต์ รีพับลิก แบงก์
เมื่อต้นสัปดาห์ก่อน Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) ซึ่งเป็นผู้ควบคุมหลักของรัฐบาลกลางของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ได้ขอให้ธนาคารหลายแห่งยื่นประมูลผู้ให้กู้ที่กำลังดิ้นรนเพื่อพยายามรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ซื้อก่อนที่จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ กำหนดเส้นตายสำหรับการเสนอราคาในวันอาทิตย์ JPMorgan ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาจะ“รับเอาเงินฝากทั้งหมด รวมถึงเงินฝากที่ไม่มีประกันทั้งหมด และสินทรัพย์ส่วนใหญ่ทั้งหมด”ของ First Republic ตามแถลงการณ์ที่ออกโดยหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐแคลิฟอร์เนีย
DFPI ได้แต่งตั้ง Federal Deposit Insurance Corporation เป็นผู้รับโอนจากธนาคารในซานฟรานซิสโก ซึ่งมีสินทรัพย์รวมเกือบ ๒๒๙.๑ พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖ ขณะที่เงินฝากรวมอยู่ที่ ๑๐๓.๙ พันล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านั้นมีการการเทขายหุ้นของเฟิร์สฯครั้งใหญ่ติดลบ ๗๕% ของมูลค่าหุ้นของธนาคาร หลังจากการเปิดเผยว่าถูกลูกค้าถอนเงินกระหน่ำ ได้สูญเสียเงินฝากมากกว่า ๑๐๐ พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีปัจจุบัน ผู้ให้กู้ที่มีฐานอยู่ในซานฟรานซิสโกประสบปัญหาในการลอยตัวเนื่องจากภาคธนาคารของสหรัฐประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่
การยึดและการขายที่รอดำเนินการของ First Republic Bank ทำให้เป็นผู้ให้กู้รายที่สามของสหรัฐที่ล้มเหลวหลังจากการล่มสลายของ Silicon Valley Bank และ Signature Bank ในเดือนมีนาคม ทั้งคู่ถูกปิดโดยหน่วยงานกำกับดูแล
ในเดือนมีนาคม สถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐตกลงที่จะอัดฉีดเงิน ๓๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สำหรับผู้ให้กู้ในภูมิภาคที่มีปัญหาซึ่งก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เลือดไหลไม่หยุด หุ้นของ First Republic ลดลงแล้วถึง ๙๗% ในปีนี้แล้วจะรอดได้อย่างไร
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจีนเตือนว่า วิธีการ “ตีตัวตุ่น” แบบนี้จะไม่แก้ไขปัญหาของ ระบบธนาคารสหรัฐฯ ซึ่งมีปัญหาและการรั่วไหลอาจส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆทั่วโลก มากขึ้นในวันต่อๆ ไปเพิ่มความวิตกเกี่ยวกับ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นฉุดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ผู้จัดการด้านการลงทุนของธนาคารในปักกิ่งกล่าวว่า “การเทคโอเวอร์บ่งชี้ว่าปัญหารุนแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ครั้งแรก เนื่องจากเราเชื่อว่าวิกฤตคลี่คลายลงแล้วหลังจากการช่วยเหลือครั้งก่อน”
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเมื่อเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขอสนับสนุนให้ธนาคาร First Republic Bank ได้รับการแก้ไขโดยมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดสำหรับกองทุนประกันเงินฝาก และเชื่อว่าระบบธนาคารของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น”
ในการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อเดือนมีนาคมเมื่อพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับธนาคารในซิลิคอนแวลลีย์และธนาคารซิกเนเจอร์ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาจะขอให้สภาคองเกรสและหน่วยงานกำกับดูแลด้านการธนาคารเสริมความแข็งแกร่งให้กับกฎระเบียบสำหรับธนาคารเพื่อ “ทำให้มีโอกาสน้อยลงที่ความล้มเหลวของธนาคารในลักษณะนี้จะเกิดขึ้น” เกิดขึ้นอีกครั้งและเพื่อปกป้องงานของชาวอเมริกันและธุรกิจขนาดเล็ก”
เกา หลิงยุน(Gao Lingyun) ผู้เชี่ยวชาญจาก Chinese Academy of Social Sciences ในกรุงปักกิ่งกล่าวว่า “ส่วนที่แย่ที่สุดคือฝ่ายบริหารของ Biden อาจไม่มีทางที่จะจัดการกับปัญหาได้ วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังคงดำเนินต่อไป และอัตราที่เพิ่มขึ้นทำให้มูลค่าของสินเชื่อที่ธนาคารสร้างขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ ดังนั้นธนาคารจำนวนมากจะถูกเปิดเผยถึงความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นอาจสร้างความแตกตื่นอย่างต่อเนื่องและคุมไม่ได้
การล่มสลายของภาคธนาคารจะเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมเตือนถึงผลกระทบแบบโดมิโนไปทั่วโลก
การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลดลงในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๖ โดย GDP เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อและปรับฤดูกาลที่ ๑.๑ เปอร์เซ็นต์ต่อปีตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากจากการเติบโต ๒.๖ เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่สี่ของปีก่อน ตามรายงานของ Wall Street Journal เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายนที่ผ่านมา โดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์