ดุลกำลังในตะวันออกกลางส่อพลิกโฉม เมื่อชาติอาหรับเรียกร้องให้ถอนกองกำลังต่างชาติออกจากซีเรีย ผู้เล่นระดับภูมิภาคหลักทั้งซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ จอร์แดน และอิรักต่างเห็นพ้องต้องกันว่าซีเรียควรกลับมาควบคุมทั้งประเทศ ผลักดันคุกคามของเมกาและพวกรวมถึงร่วมมือกำจัดกลุ่มก่อการร้ายทุกชนิดโดยไม่ต้องเกรงใจหน้าไหนอีกต่อไป เพื่อความสงบสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวของภูมิภาค ที่สำคัญสันติบาตอาหรับไปมีมติรับซีเรียเข้ากลับเป็นสมาชิกอีกครั้ง ซึ่งหมายถึงว่า หากมีการคุกคามจากภายนอกเท่ากับเป็นเรื่องของสันติบาตอาหรับจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องไม่เพิกเฉยอีกต่อไป
มติแบบนี้รอดูได้เลยว่า กองกำลังเถื่อนสหรัฐทั้งในชายแดนซีเรียและอิรักจะยังคงอยู่ได้อีกไหม เพราะต่อไปนี้สิ่งที่สหรัฐฯจะเจอไม่ใช่รัสเซียและอิหร่านเท่านั้นแต่จะเป็นกลุ่มอาหรับด้วย
วันที่ ๑ พ.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ ๕ ชาติอาหรับ ซีเรีย ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน อียิปต์ และอิรัก ลงมติเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า หลังการประชุมในกรุงอัมมานว่า “ถึงเวลาที่ รัฐบาลในกรุงดามัสกัสควรรื้อฟื้นหลักนิติธรรมในทุกพื้นที่ของซีเรีย ยุติการปรากฏตัวของกลุ่มติดอาวุธต่างชาติและผู้ก่อการร้ายอย่างสมบูรณ์” .
จอร์แดนเป็นเจ้าภาพการประชุม ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สมาชิกของซีเรียในสันนิบาตอาหรับถูกระงับในปี ๒๕๕๔ ก่อนการประชุมพหุภาคี รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย ไฟซาล เม็คแดด(Faisal Mekdad) ได้พบกับอัยมาน ซาฟาดี (Ayman Safadi) รัฐมนตรีต่างประเทศของจอร์แดน เพื่อหารือเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย ความมั่นคงชายแดน และ “ปัญหาน้ำ
ในแถลงการณ์ร่วมที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวของรัฐ รัฐมนตรีทั้ง ๕ คนเรียกร้องให้“ยุติการปรากฏตัวขององค์กรก่อการร้าย”รวมถึง“กลุ่มติดอาวุธ”ในดินแดนของซีเรีย เพื่อลดการคุกคามความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ” พวกเขายังให้คำมั่นว่าจะ“สนับสนุนซีเรียและสถาบันต่าง ๆ ของซีเรียเพื่อสร้างการควบคุมเหนือดินแดนทั้งหมดและบังคับใช้หลักนิติธรรมอย่างแท้จริง”
ก่อนหน้านี้ริยาดเดินตามวอชิงตันสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในดามัสกัสโค่นปธน.อัสซาดเพราะไม่สยบยอมเมกา แต่ตอนนี้ด้วยการนำของเจ้าชายMBS หันมาสนับสนุนเอกภาพของซีเรีย และดึงการสนับสนุนจากเพื่อนมิตรของสันติบาตอาหรับด้วยเรื่องนี้เมกาหนาวแน่เมื่อโลกมุสลิมคืนสัมพันธ์ผนึกแน่นแฟ้น
ไฟซาล เม็คแดด(Faisal Mekdad) รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรียเสร็จสิ้นการเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งสำคัญเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเดินทางครั้งแรกนับตั้งแต่ริยาดตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับดามัสกัสในปี ๒๕๕๕ ในแถลงการณ์ร่วมที่ออกให้ภายหลังการเยือน ซาอุดีอาระเบียได้รับรองเอกภาพและบูรณภาพของซีเรียอย่างเป็นทางการ พร้อมประณามการก่อการร้าย และสนับสนุนทางออกทางการเมืองสำหรับสงคราม ๑๒ ปี
เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮาน อัล ซาอุด รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้เชิญเพื่อนร่วมงานชาวซีเรียของเขาไปที่เจดดาห์เพื่อหารือเกี่ยวกับ“ความพยายามในการหาทางออกทางการเมืองสำหรับวิกฤตซีเรียที่รักษาเอกภาพ ความมั่นคง เอกลักษณ์ของชาวอาหรับ บูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรียและพี่น้องประชาชน”
เจ้าชายไฟซาลและดร.เม็คแดดเห็นพ้องต้องกันในประเด็นด้านมนุษยธรรมและอนุญาตให้ความช่วยเหลือเข้าถึงทุกพื้นที่ของซีเรีย”กำหนดเงื่อนไขสำหรับการส่งกลับผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น และ“รักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ในดินแดนซีเรียทั้งหมด”
ทั้งสองฝ่ายยังให้คำมั่นที่จะยกระดับความปลอดภัยและ“ต่อสู้กับการก่อการร้ายในทุกรูปแบบ”และเห็นพ้องกันเกี่ยวกับความจำเป็นในการ“สนับสนุนสถาบันต่างๆ ของรัฐซีเรียในการขยายการควบคุมเหนือดินแดนของตน เพื่อยุติการมีอยู่ของกองทหารติดอาวุธและการแทรกแซงจากภายนอกใน ต่อกิจการภายในของซีเรีย”
ขณะนี้ พื้นที่ทางตอนเหนือของซีเรียบางส่วนยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธที่มีตุรกีหนุนหลัง ขณะที่พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแม่น้ำยูเฟรตีสถูกยึดครองโดยกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ กองทหารสหรัฐฯ หลายร้อยนายอยู่ในประเทศนี้ด้วย ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งยังเข้าควบคุมบ่อน้ำมันส่วนใหญ่ของซีเรียนำไปขายอย่างผิดกฎหมายมานับหลายสิบปี
ดามัสกัสและริยาดได้เริ่มขั้นตอนที่จำเป็นในการกลับมาให้บริการการเดินทางทางอากาศและบริการกงสุลระหว่างทั้งสองประเทศ ขณะที่ซีเรียขอบคุณซาอุดีอาระเบีย สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่มอบให้หลังจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ความช่วยเหลือส่วนใหญ่แก่ซีเรียถูกขัดขวางโดย มาตรการคว่ำบาตรด้วยกฎหมาย ‘ซีซาร์’ ของสหรัฐฯ ที่มีต่อดามัสกัส นั่นบ่งบอกเนื้อแท้ของความโหดร้ายเห็นแก่ตัวของอเมริกาอย่างโจ่งแจ้งต่อนานาชาติ หลายชาตินอกเหนือจากพันธมิตรรัสเซียและจีน ประเทศอาหรัฐหลายแห่งแหกกฎของสหรัฐช่วยเหลือซีเรียอย่างเงียบๆ บรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติแผ่นดินไหว ทั้งยังสร้างโอกาสในการคืนดีของโลกมุสลิมอย่างที่เมกาและพวกคาดไม่ถึง ในวิกฤตกลับมีโอกาสคืนความยุติธรรมที่ถูกปล้นทรัพยากรโดยเมกาภายใต้คำขวัญปราชาธิปไตย!!??