จากที่บรรดาชาติตะวันตกพากันคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งปรากฏให้เห็นแล้วถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่เพียงผลเสียจะเกิดกับชาติยุโรปเองแต่ยังช่วยผลักดันให้รัสเซียและกลุ่มพันธมิตรขั้วอำนาจใหม่ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ทั้งนี้ Blockdit World Update ออกมาเผยแพร่เนื้อหาถึงกรณีดังกล่าวล่าสุดเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 โดยมีข้อมูลที่สำคัญระบุว่า “ล่าสุดกุมภาพันธ์ 2566 ไทยมีเงินคงคลัง 236,653 ล้านบาท และ มีนาคม 2566 ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอีก 8.57 ล้านล้านบาท
ส่วนหนี้สาธารณะนั้นคือ หนี้สะสมของหลายสิบรัฐบาลก่อนหน้ารวมกันเหตุเพราะต้องรับโอนหนี้สะสมค้างเก่าทุกรัฐบาลมาช่วยชำระหนี้แทนให้ ไม่ใช่หนี้ที่ก่อขึ้นโดยรัฐบาลชุดสุดท้าย
ในสหรัฐ นั้นรัฐบาลดำเนินนโยบายการเงินกลับตาลปัตรกับไทย คือ ออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงิน ขอกู้ต่างชาติจนหนี้สาธารณะเกิดเพดาน 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ (1,078.6 ล้านล้านบาท) สัดส่วนราว 133% ของ GDP รายรับ
หมายความว่าสหรัฐมี รายรับน้อยกว่ารายจ่าย ติดลบราว -33% ต่อปี หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่างประเทศ จึงเกิดการไหลออกของเงินไม่หยุด เมื่อธนาคารกลาง FED ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 5% ยิ่งทำให้หนี้สาธารณะทะยานสูงเกินเพดานเร็วขึ้น
ลองคิดง่ายๆ บริษัทขาดทุนจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายคืนปันผลให้ผู้ถือหุ้นฉันท์ใด ประเทศในนามรัฐบาลสหรัฐ ก็ขาดทุนติดลบ -33% ของรายได้ และขาดทุนเพิ่มทุกปีจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายคืนเจ้าหนี้ฉันท์นั้น
แต่สภาครองเกรส สหรัฐ แก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดินมาตลอดโดยเตรียม กู้หนี้เพิ่ม เรียกว่า ขยายเพดานหนี้ อีก 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ไปเป็น 32.9 ล้านล้านดอลลาร์ (1,130.1 ล้านล้านบาท) เพื่อนำเงินกู้ชุดใหม่ไปโป๊ะจ่ายเงินต้น และดอกเบี้ยหนี้สินกู้ยืมค้างเก่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับระบบ “แชร์ลูกโซ่” พอหนี้ใหม่ล้นเพดาน ก็ขยายเพดานหนี้เพิ่มอีกไม่จบไม่สิ้น
จากนั้นธนาคารกลาง FED ก็ทำ QE , เพิ่ม Balance Sheet , พิมพ์เงินเพิ่มไม่มีทองคำค้ำประกัน , เตรียมออกเงินดิจิตอลสกุลใหม่ CBDC มาล้างหนี้ แต่การทำแบบนี้เป็นแค่ “กลโกงทางบัญชี” เท่านั้น
แต่ไม่ได้ลดหนี้โดยผลผลิตจริงๆ ที่เกิดจากรายได้สินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ผลที่ตามมาคือ ปี 2566 นี้ IMF คาดอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจ GPD ของสหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ที่ผูกโยงกันจะหดตัวต่ำเตี้ยลงมาก (1.6 , 0.8 , 1.3% ตามลำดับ)
อังกฤษจะติดลบ -0.8% ยุโรปจะมีสัดส่วนเศรษฐกิจเพียง 10% ของโลก ชาติตะวันตก ฝ่ายระเบียบโลกเก่าขั้วเดียว จะถึงกาลจบสิ้นความเจริญรุ่งเรือง พร้อมสิ้นอิทธิพลต่อโลกไปในที่สุด
ส่วนจีน อินเดีย GDP จะพองตัวขยายขึ้นเป็นบวก 5.2 และ 5.9% ตามลำดับ มีสัดส่วนเศรษฐกิจถึง 50% ของโลก ถ้ารวมรัสเซีย และกลุ่ม BRICS เข้าไป จะมีอิทธิพลต่อโลกอย่างน่าตกใจมาก
สิ่งนี้คือหลักฐานว่า ในเวลาแค่ปีเดียวการคว่ำบาตรพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ราคาถูกจากรัสเซีย ได้เปลี่ยนทิศทางหันหลังให้สหรัฐ และ ยุโรป ส่งผลกระทบกดความเจริญทางเศรษฐกิจหดตัวลง
ทิศทางพลังงานรัสเซีย หันไปที่จีน อินเดีย ช่วยเร่งสปีดเสมือน ไทม์แมชชีน กระตุ้นอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจฝ่ายจัดระเบียบโลกใหม่หลายขั้วในเอเซีย
โลกของเราจะไม่หวนคืนอดีตที่ชาวตะวันตกเป็นศูนย์กลางอีกแล้ว แต่โลกในศตวรรษใหม่กำลังโอบกอดทวีปเอเชียให้เป็นมหาอำนาจแน่นอน”