ลากไส้ต.ต.!! รัสเซียหนุนUNSCเพิ่มเก้าอี้ให้เอเชีย-อาฟริกา ซัดเมกา-พวกตั้งเป้ายึดจีนโดดเดี่ยวรัสเซีย ใช้IMF บีบหนุนแผน

0

ลุงแซ่บ เซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศแห่งรัสเซียฝ่าด่านกีดกันพยายามไม่ออกวีซ่าให้ แต่ทนคำถามจากนานาชาติไม่ไหว ลาฟรอฟเลยได้ไปประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ที่นิวยอร์กได้ แต่เมกาไม่ยอมออกวีซ่าให้ผู้สื่อข่าวรัสเซีย อ้างสาระพัดเหตุผล เรียกว่ากันท่ากันแบบหน้ามึน เรื่องนี้รัสเซียประกาศจะตอบโต้แน่และไม่ยอมอ่อนข้อให้กรณีจับนักข่าวสปายวอชิงตันโพสต์เด็ดขาด

จะมาก็เดือด ในการประชุมยิ่งเดือดกว่า เพราะวันนี้ลาฟรอฟไม่เหลือเยื่อใยให้เมกาและตะวันตกอีกต่อไป พูดดีแค่ไหนก็เหมือนพูดกับก้อนหิน เลยแฉซะแสบจี๊ดทุกเม็ด เรียกว่าเมกาและพวกนั่งไม่ติด พร้อมเตือนที่ประชุมถึงความเสี่ยงของการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจโลกที่ก่อตัวขึ้น “อันตรายยิ่งกว่า” สมัยสงครามเย็น

วันที่ ๒๕ เม.ย.๒๕๖๖ สำนกข่าวรัสเซียทูเดย์,ทาซซ์ และสปุ๊ตนิก รายงานอย่างพร้อมเพรียงถึงการประชุม UNSC คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่คณะทำงานของรมว.ต่างประเทศ เซอร์เก ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) ต้องเป็นฝ่ายรายงานให้สื่อรัสเซียเผยแพร่เรื่องราว เพราะสื่อรัสเซียถูกกีดกัน สะท้อนการกลัวผู้อื่นพูดความจริงออกนอกหน้าแบบประเทศต้นแบบประชาธิปไตยสไตล์มะกัน

การมาถึงของลาฟรอฟที่สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติในฐานะประธานที่ประชุมตามรอบ ได้รับการต้อนรับจากตัวแทนชาวแอฟริกันอย่างอบอุ่น

นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งทำหน้าที่ประธานหมุนเวียนของยูเอ็นเอสซี ประจำเดือนเม.ย. กล่าวว่า บรรยากาศตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองโลกในเวลานี้ มีความรุนแรงมากกว่าสมัยสงครามเย็น เนื่องจาก “การสูญเสียความเชื่อมั่นต่อความเป็นพหุภาคี” และเน้นว่า ประชาคมโลกไม่ควรปล่อยให้ “ชนกลุ่มน้อยชาวตะวันตกอ้างตัวเองเป็นกระบอกเสียงของมนุษยชาติทั้งโลก” ไม่บอกก็รู้ว่าเขาหมายถึงสหรัฐอเมริกา

ลาฟรอฟกล่าวว่า “วันนี้ ระบบที่มีสหประชาชาติเป็นศูนย์กลางกำลังอยู่ในวิกฤตลึกซึ่งสาเหตุหลักคือความปรารถนาของสมาชิกบางคนขององค์กรนี้ที่จะแทนที่กฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติด้วย ‘คำสั่งตามกฎ’ บางอย่าง” “ไม่มีใครมองเห็นกฎเหล่านี้ ไม่เคยเป็นหัวข้อของการเจรจาระหว่างประเทศที่โปร่งใส” กฎเหล่านี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นและใช้เพื่อต่อต้าน “กระบวนการทางธรรมชาติ” ที่ส่งผลให้เกิด “ศูนย์กลางการพัฒนาที่เป็นอิสระแห่งใหม่” ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็น “การแสดงวัตถุประสงค์ของลัทธิพหุภาคีอย่างแท้จริง”

“สหรัฐฯ และพันธมิตรใช้ “มาตรการฝ่ายเดียวนอกกฎหมาย” ซึ่งรวมถึงการตัดการเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่และบริการทางการเงิน การยึดทรัพย์สิน และแม้กระทั่งการทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ”

“ผลที่ตามมาคือการแตกกระจายของการค้าโลก การพังทลายของกลไกตลาด การเป็นอัมพาตของ WTO และสุดท้ายคือการเปลี่ยนแปลงแบบเปิดของ IMF ให้เป็นเครื่องมือที่สหรัฐฯ และพันธมิตรใช้เพื่อบรรลุเป้าหมาย รวมทั้งเป้าหมายทางทหาร”

ในความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะยืนยันการครอบงำของตนโดยการลงโทษผู้ที่ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามผู้นำ สหรัฐฯได้หันไปใช้การทำลายล้างโลกาภิวัตน์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่าเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับมวลมนุษยชาติและมุ่งหมายที่จะให้บริการพหุภาคี ระบบเศรษฐกิจโลก

สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในโลกตะวันตกที่ยอมจำนนต่อวอชิงตันใช้สิ่งที่เรียกว่า “กฎ” เหล่านี้ทุกครั้งที่จำเป็นต้องสร้างความชอบธรรมให้กับมาตรการนอกกฎหมายที่ใช้กับผู้ที่ “กำหนดนโยบายของตนให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามวอชิงตัน”

นอกจากนี้ในการประชุมรอบ ๒๔ เม.ย.ที่ผ่านมา ลาฟรอฟยังอภิปรายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับยูเครนอย่างตรงไปตรงมาว่า รัสเซียปกป้องผู้คนจากการถูกกำจัดโดยระบอบเคียฟ และเพื่อจัดการกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยจาก NATO

ในขณะที่ตะวันตกไม่ได้หยุดโปโรเชนโก (Poroshenko) หรือเซเลนสกี้( Zelensky) ในภารกิจทำลายภาษาและวัฒนธรรมรัสเซีย ทั้งที่มีการฝ่าฝืนอนุสัญญาว่าด้วยชนกลุ่มน้อยในประเทศ

ประเด็นดีดสุด ซัดหมัดตรงว่า เป้าหมายของตะวันตกคือยึดครองจีน และโดดเดี่ยวรัสเซีย แต่ไม่น่าจะประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมาย เล่นเอาผู้แทนสหรัฐฯออกอาการเหวอไปเลย ไม่มีอะไรตอบโต้

ที่แสบสุดคือประเด็นซัดองค์กรโลกบาลตัวดูด IMF ว่ากลายเป็นเครื่องมือในการทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางทหารของเพนตากอน แทนที่จะเป็นที่พึ่งของประเทศที่กำลังยากลำบากทางเศรษฐกิจ

กรณีไครเมีย ที่ยูเครนและประเทศหนุนหลังสร้างความชอบธรรมว่าเหมาะสมที่ยูเครนจะโจมตีได้ แต่ในทางตรงข้ามตะวันตกกลับยอมรับเอกราชของโคโซโวโดยไม่ต้องลงประชามติ แต่พวกเขาไม่ยอมรับไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แม้ว่าจะมีการลงประชามติก็ตาม

ประเด็นสำคัญ ลาฟรอฟยิงตรงในที่ประชุมว่า ถึงเวลาที่ UNSCควรขยายสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้ครอบคลุมประเทศในเอเชียและแอฟริกาด้วย

ด้านนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) กล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ว่าความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจบนโลกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แน่นอนว่ายิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของความขัดแย้ง ผ่านความเข้าใจผิด และการคำนวณสถานการณ์ที่คลาดเคลื่อน เหมือนพูดไปตามโพย ไม่ได้แสดงจุดยืนสำคัญที่จะมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาโลกแต่อย่างใด

ส่วนนางลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็น ไม่ได้ตอบข้อเสนอของลาฟรอฟแต่อย่างใด กลับเรียกร้องรัฐบาลมอสโกว์ปล่อยตัวพลเมืองสหรัฐ ซึ่งกำลัง “ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม” ไม่เอ่ยชื่อแต่ก็หมายถึงนักข่าวสปายตัวแสบนั่นเอง ฐานะนักข่าวแค่ข้ออ้างเข้าไปเป็นจารชน รัสเซียมีหลักฐานแน่นหนา

ในวันที่ ๒๕ เมษายนนี้ ลาฟรอฟมีกำหนดเป็นประธานการอภิปรายเกี่ยวกับตะวันออกกลาง ซึ่งจะมีทอร์ เวนเนสแลนด์ ผู้ประสานงานพิเศษสำหรับกระบวนการสันติภาพตะวันออกกลางเข้าร่วม การประชุมจะมุ่งเน้นไปที่ความชะงักงันของการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอล และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น

โปรดติดตามต่อไปว่า ลุงแซ่บเลิกเกรงใจเมกาจะแสบแค่ไหนกับบทบาทการเป็นประธานUNSC ที่ทำให้สหรัฐและพวกดิ้นดิ้นและดิ้น!!??