อิหร่านประกาศเป็นทางการชัดมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือซีเรีย พร้อมส่งระบบการป้องกันทางอากาศให้ดามัสกัส ไว้รับมือกับการถล่มทางอากาศของอิสราเอลและสหรัฐฯ
วันที่ ๕ เม.ย.๒๕๖๖ สำนักข่าวทาสนิมนิวส์ รายงานว่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของอิหร่าน ยืนยันคำมั่นสัญญาของเตหะรานที่จะช่วยเหลือประเทศอาหรับในอุตสาหกรรมการป้องกันภัยทางอากาศ
นายพลฮัมเซ คาลันดารี (Hamze Qalandari) กล่าวว่า “ซีเรียเป็นประเทศที่ “ไม่มีระบบต่อต้านอากาศยานเพื่อการป้องกันอย่างแท้จริง” เมื่อเผชิญกับการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลและสหรัฐฯ และกองทัพซีเรียกำลังต้านทานการโจมตีทางอากาศจำนวนมากในปัจจุบัน
เขากล่าวเสริมว่า “เราพบว่าเตหะรานมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือมิตรประเทศ เช่น ซีเรีย ในการเสริมศักยภาพการป้องกันทางอากาศและตอบโต้เป้าหมายทางอากาศของศัตรู”
โดยเน้นย้ำถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของซีเรียในการซื้อผลิตภัณฑ์ทางทหารและการป้องกันประเทศของอิหร่านหลังจากการยกเลิกคำสั่งห้ามค้าอาวุธขอสหประชาชาติในปี ๒๕๖๓
รัฐมนตรีช่วยว่าการกล่าวว่า “ความกังวลด้านมนุษยธรรม”ที่ถูกคุกคาม ของสาธารณรัฐอิสลามได้กระตุ้นให้มีการส่งออกอาวุธมากขึ้น
นายพลคาลันดารี ชี้ให้เห็นถึงแผนของอิหร่านในการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันไปยังประเทศอื่นๆ ว่า “เราได้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านและประเทศที่เป็นมิตรของเรามากมาย ไม่เพียงแต่ในด้านยุทโธปกรณ์และอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในด้านเทคโนโลยีการป้องกันขีปนาวุธด้วย”
นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงความสำเร็จของกระทรวงกลาโหมอิหร่านในนิทรรศการระดับนานาชาติ และความกระตือรือร้นอย่างมากที่ลูกค้าต่างชาติได้แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันประเทศของอิหร่าน
ในเดือนกรกฎาคม ๒๐๒๐ อิหร่านและซีเรียได้ลงนามในข้อตกลงที่ครอบคลุมเพื่อยกระดับความร่วมมือในภาคการทหารและการป้องกันประเทศ
อิหร่านเริ่มให้ความช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาทางทหารแก่ซีเรีย หลังจากหลายประเทศที่เป็นบริวารสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกและภูมิภาคตะวันออก เริ่มให้ทุนสนับสนุนและติดอาวุธให้กับกลุ่มติดอาวุธและผู้ก่อการร้าย โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรียตั้งแต่ปี ๒๕๕๔
แม้ว่าในช่วงแรกจะสูญเสียดินแดนจำนวนมากให้กับกลุ่มดาอิชหรือไอเอส (Daesh ,ISIL หรือ ISIS) และกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ แต่ประเทศนี้ก็รวบรวมกำลังได้ด้วยความช่วยเหลือจากอิหร่านและรัสเซีย พันธมิตรอีกรายของดามัสกัส และเปลี่ยนเป็นความสมดุลในการตอบโต้ให้ตัวเองอยู่ในสมรภูมิได้อย่างยาวนาน
ด้านพล.ต. โมฮัมหมัด ฮอสเซน บาเกรี เสนาธิการทหารสูงสุดแห่งกองทัพอิหร่าน (Iranian Armed Forces Major General Mohammad Hossein Baqeri) กล่าวยกย่องพลังที่เพิ่มขึ้นของอิหร่านและแนวร่วมต่อต้านเมกา-อิสราเอล โดยกล่าวว่าการพัฒนาในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศกำลังผลักดันให้สหรัฐฯ และระบอบไซออนิสต์เข้าใกล้ความหายนะเข้าทุกที
“สิ่งที่เราเห็นในระดับโลกและระดับภูมิภาคคือ ความจริงที่ว่าการพัฒนาระดับโลกและระดับภูมิภาคกำลังทำให้ความเย่อหยิ่งของโลกตะวันตกอ่อนแอลง และผลักดันระบอบไซออนิสต์ไปสู่การล่มสลาย ในทางตรงกันข้ามพลังของประเทศเราและกลุ่มแกนต่อต้านอำนาจเดี่ยวกำลังเพิ่มขึ้น”
บาเกรีเน้นย้ำว่านักคิดชาวอเมริกันจำนวนมากและแม้แต่นักการเมืองก็รับทราบข้อเท็จจริงนี้ และ “แม้แต่ประธานาธิบดีของระบอบนี้ยังยอมรับครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอิสราเอลกำลังใกล้จะล่มสลาย นี่คือคำทำนายของผู้นำของเราอยาตอลเลาะห์ เซยิด อาลี คาเมเนอี”
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไอแซค เฮอร์ซ็อก(Isaac Herzog) ประธานาธิบดีของอิสราเอลเตือนถึงสิ่งที่เป็นความขัดแย้งที่ใกล้เข้ามาและแม้แต่การนองเลือดที่อาจเกิดขึ้น โดยกล่าวว่าเทลอาวีฟกำลังใกล้จะถึง “การล่มสลายทางสังคมและรัฐธรรมนูญ”
คำพูดของเขามีขึ้นในขณะที่ดินแดนที่ถูกยึดครองของอิสราเอล กลายเป็นฉากของการประท้วงครั้งใหญ่ในช่วง ๑๓ สัปดาห์ติดต่อกันเกี่ยวกับชุด “การปฏิรูปกฎหมาย” ที่มีการโต้เถียงและไม่เป็นที่ยอมรับอย่างมากที่เสนอโดยนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล
เนทันยาฮูอ้างว่าการปฏิรูปมีขึ้นเพื่อปรับสมดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารของรัฐบาลกับฝ่ายตุลาการ โดยป้องกันไม่ให้ศาลฎีกาตัดสินคำตัดสินคดีค้างสารเรื่องทุจริตของผู้นำ พวกเขายังพยายามที่จะให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีสิทธิมากขึ้นในคณะกรรมการที่คัดเลือกผู้พิพากษา
ฝ่ายตรงข้ามของเนทันยาฮูเห็นว่าการผลักดันของคณะรัฐมนตรีของเขาในการผ่านกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าการปฏิรูปเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอิสระของศาลฎีกา โดยอธิบายว่าเป็น “การรัฐประหารโดยชอบด้วยกฎหมาย” พวกเขายังกล่าวหาเนทันยาฮูว่าพยายามใช้การปฏิรูปเพื่อยับยั้งการตัดสินที่อาจเกิดขึ้นกับเขาในขณะที่เขากำลังถูกพิจารณาคดีในคดีทุจริตถึง ๓ คดี
หลังกระแสต้านรุนแรงขึ้น ผู้นำอิสราเอลยอมชะลอแผนปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมแต่หันกลับมาไล่ถล่มซีเรียต่อเนื่อง และเร่งคุกคามมุสลิมปาเลสไตน์อย่างหนักแม้เป็นช่วงเดือนรอมอฎอน เรื่องราวเหล่านี้สื่อตะวันตกเงียบกริบ คงต้องจับตามองว่า นอกจากซีเรียจะไม่โดดเดี่ยวเพราะมีรัสเซียและอิหร่านเคียงข้าง โลกมุสลิมจะตัดสินใจอย่างไรกับการฮึกเหิมของอิสราเอลบุกเข้าไปทำร้ายและสังหารคนมุสลิมถึงในมัสยิดอัลอักซอ ส่อเค้าสงครามในตะวันออกกลางอาจแย่งซีนยูเครนและไต้หวันอย่างที่สุดคาดเดาก็อาจเป็นได้!!??