ออกมาแต่ละเรื่องนี่ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างหรือไม่??? พรรคจะรู้กันบ้างไหมว่านับวันคนยิ่งเห็นธาตุแท้!?! คือเรื่องของเรื่อง สังคมคนไทยได้ประจักษ์ชัดคราวศาลให้พูดให้ชี้แจงกลับท่องแต่ไม่รู้ จำไม่ได้?!? แค่กกต.ขอเอกสารเพิ่มกลับประวิงเวลาถึง4เดือน แล้วก็ถึงการตั้งคำถามเรื่องงบของกองทัพที่เป็นข้อมูลที่รู้กันอย่างปกติก็มาสร้างมาปั่นให้กลายเป็นเรื่องดูลี้ลับไม่ปกติ???
การตั้งคำถามถึงรายละเอียดของงบกระทรวงกลาโหม จากกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 3,200,000 ล้านบาท โดยในส่วนของกระทรวงกลาโหมปี 2563 ตั้งไว้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 คิดเป็น 2.3 แสนล้านบาท เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ทำด้วยวัตถุประสงค์ใดนายธนาธร คงรู้ตัวดี???
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงโชว์ภาพลาออกจากกมธ.วิสามัญพิจารณางบประมาณ ตามมาด้วยการตั้งคำถามต่อกระทรวงกลาโหม แน่นอนว่าทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งสนใจ แต่จะเข้าใจด้วยหรือไม่ว่า ข้อมูลนี้เป็นเรื่องปกติที่เปิดเผยกันอยู่ในกรรมาธิการฯ หาใช่เรื่องลี้ลับไม่???
1 ธ.ค.62 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จัดบรรยายพิเศษ ถึงความไม่เหมาะสมและความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ 233,000 ล้านบาทเรียกว่าเงินในงบประมาณที่สามารถตรวจสอบและสั่งตัดได้
แต่เงินงบประมาณอีกจำนวนหนึ่งที่เรียกว่าเงินนอกงบประมาณเป็นจำนวน 19,000 ล้านบาท เงินในส่วนนี้ไม่สามารถตรวจได้ ซึ่งเไม่รู้เลยว่าเงินนอกงบประมาณมาจากไหน ใช้ไปทำอะไร ใครเป็นคนสั่งจ่าย เอาไปใช้ที่ไหนอย่างไร เงินนอกงบประมาณมาจากการใช้ทรัพยากรที่เป็นของประเทศ ทรัพยากรที่เป็นของประชาชน
ถามว่าเงินจำนวนนี้มีมากขนาดไหน เงินนี้สามารถทำให้ทระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้ง 3 กระทรวงนี้สามารถดำเนินการใช้เงินนอกงบประมาณโดยไม่ต้องใช้ภาษีของประชาชน นี่คือความใหญ่ของเงิน 19,000 ล้านบาท
นายธนาธร กล่าวอีกว่า การใช้งบประมาณต้องโปร่งใสทั้งรายรับและรายจ่าย แต่ในวันนี้ไม่มีใครมองเห็นว่ารายรับของงบส่วนนี้มาจากไหน และรายจ่าย จ่ายไปที่ใด ขนาดอดีต ส.ส. อย่างตน ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนมองไม่เห็น ประชาชนยิ่งไม่มีทางมองเห็นและตรวจสอบได้
“เงินนอกงบประมาณของกระทรวงต่างๆ นั้นสามารถตรวจสอบได้ เว้นแต่ของกระทรวงกลาโหมเพียงกระทรวงเดียวที่เราไม่รู้ และไม่สามารถขอข้อมูลใดๆ ได้ และความพิเศษนั้นอยู่ที่กฎหมาย 3 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกันที่ให้กระทรวงกลาโหมมีความพิเศษบางอย่าง คือ
- พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 มาตรา 61(3) อธิบายไว้ว่า เงินนอกงบประมาณทั้งหมดต้องปฏิบัติตามที่กฏหมายกำหนด ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยยังตรวจสอบได้ แต่ท่อนหลังได้อธิบายไว้ว่า ยกเว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น หรือได้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นอย่างอื่น
- ซึ่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่าย การรับเงิน การจ่ายเงิน การรักษาเงิน และการนำส่งคลัง 2562 ในข้อ 8 อธิบายไว้ว่า การเบิกจ่าย การรับเงิน การจ่ายเงิน การรักษาเงินของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้ยึดถือข้อบังคับของกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงิน ซึ่งได้รับความตกลงจากกระทรวงการคลัง นั้นหมายความว่า ไม่มีกระทรวงไหนได้รับสิทธิพิเศษนี้นอกจากกระทรวงกลาโหม
3.ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงิน ปี 2555 ได้อธิบายไว้ว่า ให้แบ่งเงินนอกงบประมาณออกเป็นสองประเภท ซึ่งประเภทแรกให้ทำตามกฎหมายแบบที่กระทรวงอื่นๆทำทั้งหมด แต่เงินนอกงบประมาณประเภทที่สองอธิบายไว้ว่า สามารถตั้งระบบบัญชีเองได้และสามารถตั้งระบบตรวจสอบเองได้ นั้นหมายความว่า ระบบบัญชีของรัฐที่เป็นสากลใช้กันทั่วโลก ใช้ไม่ได้เงินนอกงบประมาณในส่วนที่สองนี้” นายธนาธร กล่าว
ทั้งนี้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้เผยแพร่ ระเบียบว่าด้วย “เงินนอกงบประมาณ”หมายถึง เงินทั้งปวงที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการนอกจากเงินงบประมาณรายจ่าย เงินรายได้แผ่นดิน เงินเบิกเกินส่งคืน และเงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืน
เงินงบประมาณรายจ่าย หมายถึง จำนวนเงินอย่างสูงที่อนุญาตให้จ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันได้ตามวัตถุประสงค์ และภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
เงินรายได้แผ่นดิน หมายถึง เงินทั้งปวงที่ส่วนราชการจัดเก็บหรือได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือจากนิติกรรม หรือนิติเหตุและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายด้วยวิธีการงบประมาณบัญญัติไม่ให้ส่วนราชการนั้น ๆ นำไปใช้จ่าย หรือหักไว้เพื่อการใดๆ
เงินเบิกเกินส่งคืน หมายถึง เงินงบประมาณรายจ่ายที่ส่วนราชการเบิกจากคลังไปแล้วแต่ไม่ได้จ่ายหรือจ่ายไปหมด หรือจ่ายไม่หมด หรือจ่ายไปแล้วแต่ถูกเรียกคืน และได้นำส่งคลังก่อนสิ้นปีงบประมาณหรือก่อนสิ้นระยะเวลาเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี
เงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืน หมายถึง เงินงบประมาณรายจ่ายที่ส่วยราชการเบิกจากคลังไปแล้วแต่ไม่ได้จ่ายหรือจ่ายไม่หมด หรือจ่ายไปแล้วแต่ถูกเรียกคืน และได้นำส่งคลังภายหลังสิ้นปีงบประมาณหรือภายหลังระยะเวลาเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี
เงินนอกงบประมาณต้องมีกฎหมายรองรับ
- พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491
- พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502
- กฎหมายพิเศษ
ประโยชน์ของเงินนอกงบประมาณ
- ผ่อนคลายการควบคุม
- มีการกระจายอำนาจให้ส่วนราชการ
- สะดวกคล่องตัวในการเบิกจ่าย
- การบริหารงานสำเร็จ รวดเร็ว
- เป็นส่วนเสริมภารกิจ กรณีเงินในงบประมาณได้รับการจัดสรรไม่เพียงพอ
https://www.parliament.go.th/ewtcommittee/ewt/budget/download/article/article_20181119104845.pdf
ถามว่างบของกองทัพ ของกระทรวงกลาโหมไม่สามารถตรวจสอบล่วงรู้ข้อมูลได้จริงตามที่นายธนาธรอ้างหรือไม่??? เพราะเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายงบประมาณประจำปี 2563
ได้มีการพิจารณางบประมาณในส่วนกระทรวงกลาโหม มีนายทหารระดับสูงร่วมชี้แจง ประกอบด้วย พล.อ. ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมชี้แจง ประกอบด้วย พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก, พล.น.อ. ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ, พล.อ.อ. มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ
โดยปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ปี 2563 กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรวงเงิน 233,353 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,226 ล้านบาท ยืนยันว่าจะนำงบประมาณไปดำเนินกิจการภายใต้การปฏิบัติงานที่เชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ
กระทรวงกลาโหมต้องเสริมสร้างประสิทธิภาพการพร้อมรบ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะบรรลุภารกิจในการป้องกันและรักษาอธิปไตยของชาติในทุกมิติ รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความหวาดระแวง รักษาเสถียรภาพและความมั่นคง โดยต้องมีศักยภาพทางทหารทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พล.อ. ณัฐ กล่าวอีกว่า ในปี 2562 กระทรวงกลาโหมได้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายตัวชี้วัดในการแก้ปัญหายาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม จัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดตลอดแนวชายแดนและช่องทางธรรมชาติ ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและหมอกควัน ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อดูแลความสงบตามแนวชายแดน และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมายหรือไอยูยู ในทุกมาตรการ
ไม่เพียงแค่นั้นต่อมาวันที่ 2 ธ.ค. 62 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาเปิดเผยกรณีนายธนาธร ลาออกจากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ว่า เป็นเรื่องของเขา หากปลุกม็อบก็อย่าให้ผิดกฎหมาย
เมื่อถามถึงกรณีที่นายธนาธร ตั้งข้อสังเกต กระทรวงกลาโหม ใช้เงินนอกงบประมาณที่ตรวจสอบยาก และอาจเกิดความไม่โปร่งใสว่า ไม่มีอะไร เพราะกองทัพก็ทำเรื่องสวัสดิการให้ประโยชน์กับข้าราชการทุกคน เงินนอกกองทัพก็บริการให้กับประชาชน
และข้าราชการที่มีรายได้น้อย ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ก็ตรวจสอบอยู่แล้ว คนทำงาน จะไปโกงเขาได้อย่างไร ตนมองว่าการเคลื่อนไหวของนายธนาธร เช่นนี้ มีเป้าประสงค์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด
“กองทัพไม่มีอะไรหรอก กองทัพมีผู้บังคับบัญชาทุกระดับตรวจสอบการใช้เงินใช้ทอง การจะจำหน่ายเงินจำหน่ายทองทุกขั้นตอนมีการดำเนินการกันอยู่แล้ว เงินทองก็ดูแลกำลังพล ไม่ต้องห่วง” พล.อ.ประวิตร กล่าว
เมื่อถามย้ำว่าจะต้องชี้แจงหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ผมก็ชี้แจงอยู่นี่ไง จะเคลียร์ยังไง ก็แบบนี้ยังไม่เคลียร์อีกหรือ ไม่ต้องห่วงหรอก”
สุดท้ายเมื่อถามว่านายธนาธรมีเป้าหมายเพื่อทุบหม้อข้าวทหารหรือจ้องทุบรายได้พิเศษของทหาร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รายได้เงินนอกงบประมาณใดที่ต้องเข้าคลัง ก็เข้าคลังตามระเบียบทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่มีรายได้พิเศษ มีแต่รายได้ที่ทหารร่วมกันทำงานแล้วนำมาแจกจ่าย เพราะงบประมาณในการดูแลสวัสดิการนั้นไม่เพียงพอ ก็ต้องหากันเอง
(https://tna.mcot.net/view/F50QFmr)
นั่นคือคำตอบบางประการเป็นเบื้องต้นที่พอจะเป็นคำตอบให้นายธนาธรได้หรือไม่??? ซึ่งทางกองทัพโดยกระทรวงกลาโหมก็น่าจะออกมานั่งชี้แจงให้ประชาชนรับทราบอีกครั้ง ในขณะเดียวกันในเรื่องของพรรคอนาคตใหม่เองก็มีเรื่องให้ประชาชนสงสัยอยากจะถามเช่นกันอย่างเรื่องเงินกู้!?!
27 พ.ย. 62 รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ระบุว่า ตามข่าวสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 104/2562 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 แจ้งว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้พรรคอนาคตใหม่ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณาการกู้ยืมเงินของพรรคอนาคตใหม่เพิ่มเติม
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเรียนว่าพรรคอนาคตใหม่ได้มีหนังสือจัดส่งเอกสารบางส่วนแล้ว แต่ขอขยายระยะเวลาการจัดส่งเอกสารบางส่วนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งอีก 120 วันในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับทราบการจัดส่งเอกสารบางส่วนของพรรคอนาคตใหม่ข้างต้นแล้ว และมีมติให้ขยายระยะเวลาการจัดส่งเอกสารที่เหลือ โดยให้พรรคอนาคตใหม่จัดส่งเอกสารดังกล่าว ภายในวันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม 2562
เรื่องคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่เริ่มมาตั้งแต่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง จากการที่ นายธนาธร ได้กล่าวบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ซึ่งเจ้าตัวยอมรับเองว่า ได้ให้พรรคอนาคตใหม่ยืม 110 ล้าน เพื่อดำเนินกิจกรรมของพรรค
ต่อมา 11 มิ.ย.ทางคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนของ กกต. ได้เรียก นายศรีสุวรรณ เข้าให้ถ้อยคำ หลังรับคำร้องกรณี นายธนธร ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 โดยนายศรีสุวรรณ ได้โพสต์ข้อความก่อนเข้าพบ กกต.ว่า
หากนายธนาธรทำผิดจริง ก็จะมีความผิดตามมาตรา 124 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งกำหนดโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ส่วนพรรคอนาคตใหม่ ก็จะต้องถูกปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร 5 ปี และยึดเงินส่วนที่เกินกว่า 10 ล้านบาท ให้เป็นของกองทุนพรรคการเมืองต่อไป
นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดของคดีที่ว่านี้ คือนับตั้งแต่นายศรีสุวรรณไปยื่นเรื่องให้กกต.ตรวจสอบ จนกระทั่งวันที่ถูกเรียกให้เข้าไปชี้แจงข้อมูลผ่านมาเดือนที่6 ที่ทางกกต.ขอเอกสารเพิ่ม แต่อนาคตใหม่ที่มีนายธนาธรเป็นหัวหน้าพรรคและเป็นคนที่ให้พรรคกู้เงินกลับยังจะขอเวลาไปอีก4เดือนกับการแค่ส่งเอกสารเพิ่ม!!!
พฤติกรรมเช่นนี้ การกระทำแบบนี้ของนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ ฝ่ายประชาชนก็มีคำถามที่อยากจะรู้เช่นเดียวกันว่า นี่เป็นการประวิงเวลาใช่หรือไม่??? ลองหันมาดูและสนใจเรื่องของตัวเองและพรรคบ้างก็น่าจะดี อย่ามัวไปปลุกเร้าให้คนไทยต้องสับสน คิดหวังทำสังคมประเทศชาติให้วุ่นวายไปมากกว่านี้เลย?!?