คำสอนเรื่องมโนมยิทธิของหลวงปู่พุทธะอิสระ
โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการสถาบันทิศทางไทย
มโนมยิทธิ(ฤทธิ์ทางใจ)คือ การฝึกพิจารณาธาตุทั้งสี่ในกาย มิใช่การภาวนาในกาย เนื่องเพราะจิตใดที่เข้ามารับรู้ธรรมชาติแท้ของกาย จิตนั้นคือบริสุทธิจิตและเป็นวิเศษจิต
จิตที่เข้ามารับรู้มหาภูตรูปทั้งสี่ในกาย คือรูปดิน รูปน้ำ รูปลม รูปไฟ เป็นโลกบัญญัติ ไม่ใช่บุคคลบัญญัติ… เป็นจิตที่มีพลัง ผู้ที่มีจิตที่มีพลังและทรงอานุภาพมากจึงจะถือว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ทางจิต เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาให้เห็น คือเห็นดิน เห็นน้ำ เห็นลม เห็นไฟในกาย… ไม่ใช่คิดให้เห็น เพราะมโนมยิทธิคือการฝึกเห็นธาตุทั้งสี่ในกายตามโลกบัญญัติให้ชัดเจน
มโนมยิทธิ ธาตุดิน คือการเอาจิตไปพิจารณาธาตุดินในกาย(โครงกระดูก)
มโนมยิทธิ ธาตุน้ำ คือการเอาจิตไปพิจารณาธาตุน้ำในกาย(ของเหลวต่าง ๆในร่างกาย)
มโนมยิทธิ ธาตุลม คือการเอาจิตไปพิจารณาธาตุลมในกาย(ลมที่เคลื่อนในกายตั้งแต่หัวจรดเท้า)
มโนมยิทธิ ธาตุไฟคือการเอาจิตไปพิจารณาธาตุไฟในกาย(ความเร่าร้อนทุรนทุรายข้างในตัวเราซึ่งรับรู้ได้ยากแต่สัมผัสได้)
จะเห็นได้ว่า มโนมยิทธิเป็นวิชาที่ผู้นั้นควรใช้ฝึกต่อยอด หลังจากที่ผู้นั้นได้ผ่านการฝึกวิชาปราณอักษรสวรรค์ วิชาปราณชำระกระดูก วิชาลม 7ฐานและผ่านการฝึกวิถีจิตหรือการดูจิตมาอย่างช่ำชองแล้วเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น การผูกจิตไว้กับลมเป็นการภาวนาไม่ใช่การพิจารณาลม อย่าสับสนการภาวนากับการพิจารณา
พิจารณาให้เห็นลม มิใช่เข้าไปอยู่กับลม
ก่อนอื่นต้องรู้ว่าลมอยู่ตรงไหนในร่างกายเรา ตั้งแต่หัวจรดเท้า ลมที่พัดไปทั่วกายทั้งภายในและภายนอก
การเอาจิตตัวเองไปรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ต้องเป็นจิตที่ละเอียดมาก มีอานุภาพมาก มีพลังมากและวิเศษมาก จึงสามารถ “เห็น” การเคลื่อนไหวของลมในกายตั้งแต่หัวจรดเท้าได้
*********
มโนมยิทธิ (ดร.สุวินัย ภรณวลัย)
ไม่มีบุญวาสนาไหนยิ่งใหญ่และประเสริฐเท่าบุญวาสนาทางธรรม ในเส้นทางแสวงธรรมและแสวงหาทางจิตวิญญาณของผมตลอดช่วง 40 ปีที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่ตัวผมไม่เคยสนใจวิชามโนมยิทธิที่แพร่หลายกันเลย แน่นอนว่าเคยมีคนพยายามมาสอนวิชานี้ให้ผม และผมก็ลองฝึกดูแล้ว …. แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นแค่การชักจูงจิต ปรุงแต่งจิตอย่างหนึ่งเท่านั้น
จริงอยู่คนฝึกมโนมยิทธิแบบนี้ อาจได้สมาธิแต่ก็ยังเป็นสมาธิแบบจิตแยกกาย มิใช่สมาธิกายรวมใจของพุทธะ วิชาธรรมกายก็เช่นกัน ผมก็มีโอกาสฝึกฝนร่ำเรียนอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ผมก็ได้คำตอบว่ามันไม่ใช่เหมือนกับมโนมยิทธิ
จนกระทั่ง … ผมได้รับฟังคำสอนของหลวงปู่พุทธะอิสระเรื่องมโนมยิทธิ ผมจึงยอมรับและน้อมรับจากใจจริงว่า … นี่แหละคือมโนยิทธิในวิชชา 3 ของพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง มิหนำซ้ำยังเป็นมโนมยิทธิในสายพระโพธิสัตว์ผู้เจริญปัญญาบารมีด้วย เมื่อเราพร้อม ครูและคำสอนของครูย่อมปรากฏตรงหน้าเสมอ
หลังจากเตรียมตัวมาทั้งชีวิต วิชามโนมยิทธิของหลวงปู่พุทธะอิสระได้เข้ามาต่อยอดการภาวนาฝึกฝนบำเพ็ญตนของตัวผมในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี … ในตอนเช้าตรู่วันนี้เอง (22 ตุลาคม 2562)
กราบแทบเท้า ณ เบื้องบาทแห่งปทุมมาของพระพุทธะ … ที่ชี้นำเส้นทางปัญญาบารมีของพระโพธิสัตว์ให้ตัวผมมากว่าค่อนชีวิต
**********
มโนมยิทธิ กับ Homo Deus (ดร.สุวินัย ภรณวลัย)
ถ้าประชากรในโลกนี้มี 100 คน
จำนวนผู้คนที่นับถือศาสนาแบบ(เอก)เทวนิยม (คริสต์ อิสลามและฮินดู) จะมีอยู่ราวๆ 61 คน
มีคนที่นับถือศาสนาพุทธ (เถรวาท มหายานและวัชรยาน) ราวๆ 13 คน
มีคนที่เป็นเอทิสต์หรือไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ราวๆ 16 คน
ที่เหลือคือประชากรที่นับถือผีบ้าน หรือความเชื่อเรื่องภูติวิญญาณท้องถิ่นต่างๆ
ในการแสวงธรรมตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผม ตัวผมมุ่งบูรณาคำสอนทางจิตที่สามารถครอบคลุมทุกๆความเชื่อทั้งสายเทวนิยม สายอเทวนิยมและสายเอทิสต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ … เพื่อหาเส้นทางร่วมที่สามารถนำพาผู้คนไปสู่ความรู้แจ้งแม้จะยึดถือความเชื่อที่ต่างกัน
นี่คือหลักการ Integral Spirituality ที่สำคัญยิ่งในยุคนี้ในมุมมองของผม
ในอีกด้านหนึ่งผมยังต้องมุ่งแสวงหาแนวทางการพัฒนาจิตแบบบูรณาการในยุคข้อมูลนิยม (Dataism) ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วและกำลังเข้ามาแทนที่ยุคทุนนิยมผ่าน การปฏิวัติแบบ “ล้มล้างเทคโนโลยี” หรือ Disruption
ในอดีต ศาสนาหลักทั้งหลายและลัทธิคอมมิวนิสต์เคยได้รับความนิยมอย่างมหาศาลและมีอำนาจอย่างท่วมท้นทั้งๆที่มีข้อผิดพลาดในข้อเท็จจริงอันเป็นที่ประจักษ์
แล้วทำไมลัทธิข้อมูลนิยมจะเข้ามาทำแทนที่ไม่ได้ ? ก็ในเมื่อลัทธิข้อมูลนิยมมีโอกาสที่ดีกว่า เพราะปัจจุบันอิทธิพลของลัทธิข้อมูลนิยมได้แผ่ขยายออกไปแทบในทุกสาขาทางวิทยาศาสตร์เรียบร้อยแล้ว โดยที่วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่การใช้ “แบบจำลองของลัทธิข้อมูลนิยม” เหมือนกัน
นี่คือเส้นทางที่ลัทธิข้อมูลนิยมกำลังเดินหน้าพิชิตโลกอยู่ตอนนี้ การพิชิตโลกแบบเบ็ดเสร็จของลัทธิข้อมูลนิยมจึงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ลัทธิข้อมูลนิยมเริ่มต้นผ่าน “โครงการ Homo Deus” ที่มุ่งไล่ล่า สุขภาพดี(อายุยืนยาว) ความสุขถาวร และอำนาจวิเศษต่างๆดุจเทพเจ้าในตำนาน (ความทะเยอทะยานแบบสุดโต่งสุดๆของพวกมนุษยนิยมที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง)
โดยผ่านโครงการ Homo Deus ข้างต้น ลัทธิข้อมูลนิยมจะยิ่งแผ่ขยายตัวเองออกไปราวไม่มีขอบเขต เมื่อใดก็ตามที่อำนาจได้เปลี่ยนมือจากมนุษย์ไปสู่มือของอัลกอริทึมโดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นคุณค่าของมนุษย์จะลดความสำคัญลงไปอย่างฮวบฮาบและมีคุณค่าน้อยลงเรื่อยๆ
เมื่อใดก็ตามที่ “อินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง”ถูกสถาปนาขึ้นในยุคข้อมูลนิยมได้เป็นผลสำเร็จ เมื่อนั้นมนุษย์จะถูกลดฐานะจากผู้สร้างกลายเป็นชิป จากชิปก็จะถูกลดคุณค่ากลายเป็นแค่ข้อมูล และในที่สุดมนุษย์ทั้งหลายก็อาจสลายตัวไปท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของอภิข้อมูล (บิ๊กเดต้า) เช่นเดียวกับก้อนดินก้อนหินในแม่น้ำเชี่ยว
จะเห็นได้ว่า ลัทธิข้อมูลนิยมกำลังข่มขู่คุกคามความอยู่รอดหลังจากนี้ของพวกเซเปียนส์ เหมือนอย่างที่พวกเซเปียนส์ได้เคยคุกคามทำลายล้างสัตว์อื่นๆมาก่อนแล้ว ในอนาคตไม่ช้าก็เร็ว มนุษยชาติหรือเซเปียนส์จะกลายเป็นเพียงแค่คลื่นกระเพื่อมภายในกระแสข้อมูลแห่งจักรวาลเท่านั้น เมื่อถึงยุคที่อัลกอริทึมมีอำนาจล้นฟ้าดุจพระจ้า
ฤาว่านี้คือกฎแห่งกรรม อันเป็นผลจากวิบากกรรมที่เหล่าเซเปียนส์ได้ทำไว้กับโลกใบนี้ตลอดระยะเวลาที่เหล่าเซเปียนส์ครองโลก … เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือกฎแห่งไตรลักษณ์ที่อยู่เหนือกฎใดๆในจักรวาล
ผมมีมุมมองต่อ “มโนมยิทธิ”(หรือฤทธิ์ทางใจ) จากมุมมองข้างต้น
มโนมยิทธิ เป็นวิชาคำสอนที่เริ่มต้นจากการเชื่อในอำนาจจิตและพลังจิตของมนุษย์ ที่ได้มาจากการสะสมพลังจิตในตัวตนผ่านการฝึกตบะ หรืออินทรียสังวรหรือการควบคุมตา-หู-จมูก-ลิ้นและกายให้อยู่ในอำนาจ
เมื่อฝึกตบะผ่านอินทรียสังวรได้แล้ว จึงค่อยฝึกควบคุมใจให้อยู่ในอำนาจ ผ่านการเอาชนะ นิวรณ์ 5 (กามฉันทะ พยาบาท ความง่วง ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัย) จนกระทั่งจิตได้ฌาน ทรงฌานอยู่ในภาวะเอกัคคตาหรืออุเบกขารมณ์ สามารถมีจิตที่วางเฉยได้ในทุกสภาวะ ไม่หวาดหวั่นแม้เผชิญความตายตรงหน้า
การฝึกมโนมยิทธิ คือการฝึกจิต สะสมพลังจิต จนได้พลังจิตแบบนี้นั่นเอง ผู้ที่มีพลังจิตแบบนี้ย่อมไม่หวั่นไหวใดๆเมื่อเผชิญกับการปฏิวัติแบบล้มล้างเทคโนโลยีของยุคข้อมูลนิยม แต่แม้จะมีพลังจิตหรือได้มโนมยิทธิแบบนี้แล้ว มันก็ยังไม่เที่ยง ไม่ถาวร และไม่มีจริงในระดับปรมัตถ์
พลังจิตไม่ว่ายอดเยี่ยมแค่ไหน ก็ยังต้องพัฒนาจิตต่อไปสู่ พลังแห่ง”ความรู้ตัว” (ปัญญาญาณหรือปัญญาบารมี หรือ enlightened wisdom) ซึ่งไม่ใช่ intelligence หรือปรีชาญาณซึ่งตอนนี้จักรกลปัญญาประดิษฐ์มีปรีชาญาณ (intelligence) เหนือกว่ามนุษย์แล้วในเชิงปัจเจก และกำลังมุ่งหน้าไปสู่ซิงกูลาริตี้ ที่จักรกลปัญญาประดิษฐ์มีความฉลาดเหนือกว่ามวลมนุษชาติโดยรวม
พลังจิตกับพลังแห่งความรู้ตัว คือ 2 พลังที่มนุษย์ต้องสั่งสมและพัฒนาเพื่ออยู่รอดในยุคข้อมูลนิยมอย่างคงศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้ (28 ตุลาคม 2562)