“ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน” เผย “คนไร้บ้านเชียงใหม่” ถูกจับกุม – ส่งฟ้องศาล ข้อหาออกจาก “บ้าน” ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว
พี่ตุ้ย (นามสมมติ) คนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในตลาดวโรรส หรือ กาดหลวง อาชีพรับจ้างเข็นผักส่งภายในตลาด และอาศัยนอนอยู่บริเวณแผงผักในตลาดช่วงกลางคืน เปิดเผยว่า คืนที่เกิดเหตุราววันที่ 12 เมษายน 2563 ขณะนั้นเวลาประมาณ 22.30 น. เขารู้สึกปวดปัสสาวะ จึงได้เดินออกจากตลาดข้ามถนนจากฝั่งตลาดวโรรสไปยังฝั่งแม่น้ำปิง ซึ่งห่างออกไปราว 20 เมตร เมื่อปัสสาวะเสร็จแล้วกำลังเดินข้ามถนนเพื่อกลับมานอน ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถมาพบกับเขาพอดี เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาพูดคุยและแจ้งว่า ขณะนี้เกินเวลา 22.00 น. เป็นช่วงเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว
พี่ตุ้ย พยายามอธิบายว่า เขาอาศัยนอนอยู่บริเวณนี้ห่างออกไปเพียงแค่ข้ามฝากถนน พร้อมร้องขอว่าอย่าจับกุมเขาเลย แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังยืนกรานว่า ตอนนี้เกินเวลาที่กำหนดแล้ว ให้ขึ้นรถไปกับเจ้าหน้าที่เดี๋ยวนี้ พี่ตุ้ยจึงต้องยินยอมเดินทางไปกับรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อไปถึงสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจัดทำเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องการฝ่าฝืนมาตรการเคอร์ฟิวและให้พี่ตุ้ยเซ็นรับสารภาพ ซึ่งพี่ตุ้ยก็ได้เซ็นรับสารภาพ โดยไม่มีทนายความหรือบุคคลอื่นร่วมอยู่ด้วย หลังจากนั้นเขาถูกนำตัวไปควบคุมไว้ในห้องขังของสถานีตำรวจเป็นเวลา 1 คืน
เช้าวันต่อมา เวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวพี่ตุ้ยไปยังศาลแขวงเชียงใหม่เพื่อส่งฟ้อง แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าศาลแขวงเชียงใหม่ยังไม่รับฟ้อง เขาจึงถูกนำตัวกลับไปยังสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ เพื่อควบคุมตัวไว้ในห้องขังของสถานีอีกครั้ง
จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวพี่ตุ้ยไปยังศาลแขวงเชียงใหม่อีก โดยในครั้งนี้ศาลได้รับฟ้องคดี และเขาได้ถูกพาตัวไปยังห้องขังใต้ถุนศาล จากนั้น ก็มีการอ่านคำพิพากษาผ่านทีวีในห้องขัง โดยคำพิพากษาพี่ตุ้ยจำได้คร่าวๆ ศาลระบุว่าเขามีความผิดจริง ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1,500 บาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี ส่วนค่าปรับหากไม่มีเงินจ่ายให้ทำการกักขังแทนค่าปรับ วันละ 500 บาท
ขณะนั้นพี่ตุ้ยไม่มีเงินจ่ายค่าปรับและไม่มีทางติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร ทำให้คิดว่าต้องยินยอมถูกกักขังเป็นเวลา 3 วัน แทนเงินค่าปรับ 1,500 บาท โดยเขาคาดว่าจะถูกพาไปยังเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ที่อำเภอแม่แตง แต่เมื่อพี่ตุ้ยได้นั่งรออยู่ในห้องขังจนเวลาประมาณ 18.00 น. ผู้พิพากษาที่ได้อ่านคำพิพากษาได้แจ้งกับเขาผ่านจอทีวีของศาลอีกครั้งว่า ครั้งนี้เป็นการกระทำความผิดครั้งแรก ศาลจะตักเตือนก่อน แต่ระวังอย่าให้มีการกระทำความผิดอีก ทำให้ในที่สุดพี่ตุ้ยไม่ได้ถูกส่งตัวไปกักขัง และได้เดินทางกลับมาอาศัยที่ด้านหลังตลาดวโรรสเช่นเดิม หลังจากวันนั้นในช่วงกลางคืนพี่ตุ้ยไม่กล้าที่จะเดินออกมาบริเวณถนนอีกเลย
สำหรับงานเข็นผักในช่วงนี้ พี่ตุ้ยเล่าว่า “งานช่วงนี้ไม่ค่อยมี เพราะว่าโรคโคฟิวๆ อะไรเนี่ยแหละ งานไม่ค่อยมี เมื่อก่อนก็พอมีรายได้วันละ 3 – 4 ร้อย แต่ตอนนี้ก็บางวันไม่ถึงร้อย บางวันก็ร้อยกว่า”
เมื่อถามว่า พี่ตุ้ยรู้หรือไม่ว่ารัฐบาลประกาศห้ามออกจากบ้านช่วงหลัง 4 ทุ่ม ก่อนที่เขาจะถูกดำเนินคดี พี่ตุ้ยบอกว่า “ผมไม่รู้เลยครับ ผมข้ามฟากมาเนี่ย จากที่ผมนอน ข้ามฟากมาแค่นี้ ผมจะข้ามไปนอนอยู่ล่ะ แต่ตำรวจเขาไม่ยอม เขาบอกว่ามันเกินเวลา ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เนาะกฎหมาย ตอนแรกตำรวจบอกว่า 2 ทุ่ม ก็ได้กลับแล้ว แต่พอไปปุ๊บ เซ็นอะไรแล้วปุ๊บ ต้องรอขึ้นศาลอะไรอีกยาวเลย ผมต้องไปนอนกินข้าว 1 คืน กับ 1 วัน ในห้องขัง ธรรมดามันก็เป็นความผิดของเราเนาะ เราไม่ได้ติดตามเอง”
จากการสอบถามคนไร้บ้านที่ถูกดำเนินคดีทั้งสองราย และอาสาสมัครคนไร้บ้านซึ่งทำงานลงพื้นที่เพื่อแจกจ่ายอาหารในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโรคโควิด-19 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19
พบว่า มีรายงานการจับกุมดำเนินคดีกลุ่มคนไร้บ้านในลักษณะคล้ายกรณีของทั้งสองคนอีกในช่วงสองอาทิตย์กว่าหลังประกาศเคอร์ฟิว อย่างน้อยเท่าที่ได้รับการบอกเล่ากันมาราว 10 กรณีแล้ว
แต่ละกรณีมีพฤติการณ์แตกต่างกันไป ทั้งคนไร้บ้านที่นอนอยู่ในที่สาธารณะ และคนไร้บ้านที่ออกมาเดินในช่วงเวลาเคอร์ฟิว แต่ก็มีเพียงบางกรณีเท่านั้นที่กลุ่มอาสาสมัครคนไร้บ้านเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว โดยมีการบอกเล่ากันว่า คนไร้บ้านบางรายได้ถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ แทนการจ่ายค่าปรับที่ศาลได้มีคำพิพากษาอีกด้วย แต่ยังไม่สามารถติดตามข้อมูลกรณีลักษณะนี้ได้
อ้างอิงจาก ” ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน “