หลายคนลุ้นว่าวิกฤตธนาคารของสหรัฐฯ จะไม่ทำให้ระบบการเงินธนาคารของสหรัฐล่มสลาย แต่สภาพที่เกิดขึ้นหลังBankRun และแบงก์ใหญ่ล้มทั้งในสหรัฐและยุโรป ทำให้ตลาดยังคงกังวล หวังว่าเฟดจะชะลอขึ้นดอกเบี้ยชะลอการแห่ถอนเงินจากธนาคารกลางสู่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ แต่ก็ต้องผิดหวังอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป กำลังอยู่ในความสนใจของทั้งโลก
วันที่ ๒๓ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และสปุ๊ตนิก เปิดเผยอดีตรองประธานเลห์แมนฟันธงว่า ธนาคารสหรัฐอีก ๕๐ แห่งจ่อล้ม ชี้ว่าเฟดต้องลดอัตราดอกเบี้ยและรับประกันเงินฝากที่ถือโดยผู้ให้กู้ในภูมิภาคจึงจะแก้ปัญหาได้ ถ้าไม่ทำพังแน่
ลอเรนซ์ แมคโนนัลด์(Lawrence McDonald) อดีตรองประธานฝ่ายตราสารหนี้ด้อยคุณภาพและการซื้อขายหลักทรัพย์แปลงสภาพของเลห์แมนบราเดอร์ส (Lehman Brothers) ให้สัมภาษณ์กับ RIA Novosti ว่า “วิกฤตการธนาคารอาจกลืนผู้ให้กู้ในภูมิภาคอีก ๕๐ รายในสหรัฐฯ หากเจ้าหน้าที่ของประเทศไม่ดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง” เขากล่าว “ผู้กำหนดนโยบายมักจะถูกบังคับให้หักภาษี ณ ที่จ่ายมากขึ้นเพื่อรักษาเงินฝากที่ไหลออกจากบัญชีธนาคารที่เกิน ๒๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ”
การล่มสลายของ Lehman Brothers ในอดีตซึ่งทำให้ตลาดเงินทุนยึดและทำให้ผู้ให้กู้ทั่วโลกยากที่จะได้รับเงินดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี ๒๕๕๑/๒๐๐๘
อดีตผู้บริหารกล่าวเสริมว่า “ธนาคารในภูมิภาคของสหรัฐฯ คาดว่าจะสูญเสียหลายแสนล้านดอลลาร์ โดยเงินเหล่านี้จะถูกย้ายไปยังผู้ให้กู้รายใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจากนั้นไปยังพันธบัตรรัฐบาล”
แมคโดนัลด์กล่าวว่า ทางการสหรัฐฯ จะต้องเพิ่มการค้ำประกันเงินฝากอย่างมากเมื่อเทียบกับที่มีอยู่เดิมซึ่งไม่สามารถอุ้มผู้ฝากทั้งหมดได้
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สื่อหลายแห่งรายงานว่าเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กำลังหารือเกี่ยวกับการเพิ่มประกันเงินฝากในกรณีที่ภาคการธนาคารถดถอย ขั้นตอนดังกล่าวจะต้องใช้เงินจากกองทุนรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนของกรมธนารักษ์จำนวนมาก จนป่านนี้ยังไม่มีการตัดสินใจโดยระดับมหภาค
แมคโดนัลด์อัดเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powel)l ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือ Fedว่า “ปฏิบัติตามนโยบายที่ไม่เพียงพอในการคุมเข้มนโยบายการเงิน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังสูบบุหรี่อยู่ในโรงเก็บไดนาไมต์ เมื่อ ๑๐ วันก่อน พาวเวลล์ที่ Capitol Hill บอกเราว่าระบบธนาคารไม่เป็นไร เขาโกหกหรือไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่”
เขาสรุป“การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ นั่นคือการช่วยเหลือ โดยพื้นฐานแล้วรัฐบาลกลางต้องรับความเสี่ยงจากเงินฝากธนาคาร”
แต่สิ่งที่อดีตรองประธานเลห์แมนฯพูดมันไม่ตรงกับแอ็คชั่นของFedเลย
เจอโรม เพาเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐแถลงว่า “สภาวะทางการเงินดูเหมือนจะตึงตัวขึ้น และอาจมากกว่าที่ดัชนีแบบดั้งเดิมกล่าว คำถามสำหรับเราคือมันจะสำคัญแค่ไหน จะมีขอบเขตเท่าใด และจะมีระยะเวลาเท่าใด”
หลังจากการประชุมเมื่อวันพุธ คณะกรรมการตลาดเปิดของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ๒๕ จุดฐาน ทำให้อัตราเงินกองทุนของรัฐบาลกลางที่แท้จริงอยู่ที่ ๕% ในความเห็นเกี่ยวกับช่วงเวลาเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง FOMC แสดงความกังวลว่าสถานการณ์ทางการเงินไม่มั่นคงสวนทางจากเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯเองบางคนพยายามทำให้ดูเหมือนว่า เศรษฐกิจและการเงินธนาคารของสหรัฐฯแข็งแกร่ง ทั้งไบเดน โฆษกทำเนียบขาว รมว.คลังและตัวประธานเฟดเอง
หุ้นสหรัฐได้รับผลกระทบทันทีในวันพุธที่ผ่านมา ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง ๕๓๐.๔๙ จุดในวันพุธ ลดลง ๑.๖๓% ดัชนีอื่นๆ ร่วงลงตามอัตรากำไรที่ใกล้เคียงกัน: S&P ๕๐๐ ลดลง๖๕.๙ จุด ปิดที่ และแนสแด็ค คอมโพซิต (Nasdaq Composite) ลดลง ๑๙๐.๑๕ จุด ปิดที่ ๑๑,๖๖๙.๙๖
แต่พาวเวลล์ยืนยันว่าระบบธนาคารสหรัฐฯนั้น “มั่นคงและยืดหยุ่น” นโยบายการคลังของสหรัฐฯ ที่ชี้นำโดยเฟดได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในปีที่แล้ว ได้ลดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรและทำให้นักลงทุนไม่สนใจการขอสินเชื่อใหม่
ความสับสนเกี่ยวกับมูลค่าของพันธบัตรได้ก่อให้เกิดการล่มสลายของธนาคารซิลิกอน วัลเลย์(Silicon Valley Bank)เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เป็นความล้มเหลวของธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้ส่งแรงกระเพื่อมผ่านระบบการเงินทั่วโลก ในไม่ช้าธนาคารโซเวอเรนจ์ (Sovereign) ก็พังทลายลงอีก และธนาคารเครดิตสวิสในสวิตเซอร์แลนด์ต้องให้รัฐเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพ บริษัทแม่พร้อมยื่นขอล้มละลาย
ผู้บริหารเลห์แมนเชื่อว่ารัสเซียจะได้ประโยชน์จากวิกฤตการธนาคารของสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นการเพิ่มมูลค่าของทองคำ และรัสเซียเป็น ” ประเทศที่มีสินทรัพย์แข็ง ” ที่ชนะตะวันตก ” จากราคาทองคำที่สูงขึ้น ” แต่จีนอาจได้รับผลกระทบเพราะมีการลงทุนที่ไขว้กับสหรัฐฯไม่น้อย