ฮือฮากันหนักเมื่อพ่อมดการเงินวอลสตรีท แอบหารือทำเนียบขาว ปูทางช่วยธนาคารระดับภูมิภาคสหรัฐฯ หวังค้ำยันเศรษฐกิจอเมริกา คำถามคือหยุดเลือดไหลห้ามธนาคารล้มโดมิโนได้จริงหรือ ดูเหมือนว่าทำได้ทางจิตวิทยาในตลาดหุ้น เพราะหลังข่าวแพร่ไปหุ้นดีดเขียวสมใจ แต่ปัญหาการล่มสลายไม่ได้ขึ้นกับอารมณ์นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงด้านคุณภาพของธนาคารทั้งหลาย ที่กลบความเน่าเฟพและสร้างภาพสวยหรูมาโดยตลอด ต่อให้เจ้ามืออย่างธนาคารกลางสหรัฐมาอุ้มก็ใช่ว่าจะหยุดแบงก์รันแบงก์ล้มได้หากเครดิตความน่าเชื่อถือเป็นศูนย์
วันที่ ๒๑ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกรายงานว่า นักเศรษฐศาสตร์เตือนธนาคารสหรัฐอย่างน้อย ๑๘๖ แห่งที่ ‘เสี่ยงต่อการดำเนินการ’ คล้ายกับธนาคาร SVBที่ล้มละลายไปแล้ว
หลังจากที่ธนาคารแห่งซิลิคอนแวลลีย์ (SVB) ของสหรัฐฯ พังทลายอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยธนาคารซิกเนเจอร์และซิลเวอร์เกท รวมถึงวิกฤตเครดิตสวิส นโยบายของFedในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างอาละวาดถูกตำหนิว่าเป็นต้นเหตุสำคัญให้สถาบันการเงินล้มละลาย
ผลการศึกษาโดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์เตือนแรงว่าธนาคารสหรัฐอย่างน้อย ๑๘๖ แห่งอาจเผชิญกับความเสี่ยงเช่นเดียวกับธนาคารในซิลิคอนแวลลีย์ที่เพิ่งพังทลาย
ผู้ให้กู้เงินเหล่านี้ทั้งหมดถูกท้าทายด้วยประเด็นที่คล้ายกัน นักวิจัยระบุ โดยอ้างถึงการคำนวณที่บ่งชี้ว่ามูลค่าสินทรัพย์ของธนาคารลดลงเมื่อเร็วๆ นี้
ทีมงานวิจัยได้แก่ เอริกา ซูเหว่ย เจียง(Erica Xuewei Jiang) แห่งมหาวิทยาลัย Southern California, เกรเกอร์ แมตวอส(Gregor Matvos) จาก Kellogg School of Management แห่งมหาวิทยาลัย Northwestern, โทแมซ ปิสคอสกี(Tomasz Piskorski) แห่ง Columbia Business School, Finance แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ อมิต เซรู(Amit Seru) แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ” ต่างระบุว่าผู้ฝากเงินที่ไม่มีประกันพากันถอนเงินและการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่องส่งผลให้มูลค่าพันธบัตรสหรัฐที่สถาบันการเงินถือไว้ด้อยมูลค่าลงส่งผลขาดทุนยับ ทำให้ SVB ล้มเหลวในที่สุด
เมื่อวันที่ ๑๐ มี.ค.ที่ผ่านมา Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) ประกาศว่า บริษัทจะเข้าครอบครอง SVB หลังจากกลายเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่อันดับสองในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี ๒๕๕๑
ในการดำเนินการปล่อยกู้อย่างบ้าคลั่งบน SVB แล้วขาดทุน ลูกค้าที่เป็นกังวลได้ถอนเงินฝากที่ไม่มีหลักประกันของพวกเขา หลังจากที่สินทรัพย์ของผู้ให้กู้เงินลดลงท่ามกลางแคมเปญการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอย่างไม่หยุดยั้ง
บัญชีสินทรัพย์ธนาคาร การสูญเสียมูลค่าตลาด และเปอร์เซ็นต์เงินทุนได้รับการประเมินในระหว่างการวิจัย ทีมงานอธิบายว่าตั๋วเงินคลังของสหรัฐและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่อ่อนไหวต่อมูลค่าที่ลดลงเมื่อพันธบัตรใหม่เสนออัตราที่สูงกว่า เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์ได้ศึกษาเงินทุนที่ได้รับจากผู้ฝากเงินที่ไม่มีประกัน ผู้ที่มีบัญชีมากกว่า ๒๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์ พวกเขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
ทีมงานได้คำนวณผลรวมของปัจจัยที่คล้ายคลึงกันซึ่งนำไปสู่มูลค่าหลักทรัพย์ลดลงของ SVB ที่อาจส่งผลกระทบต่อธนาคารในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด จากนั้นพบว่าสินทรัพย์ไม่เพียงพอสำหรับผู้ฝากเงินทั้งหมดอาจส่งผลให้ธนาคารเกือบ ๑๙๐ แห่งเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการด้อยค่าของผู้ฝากที่มีประกัน หากครึ่งหนึ่งของผู้ฝากที่ไม่มีประกันรีบเร่งถอนเงินอย่างรวดเร็วจากธนาคารในอเมริกาที่มีปัญหา
นอกจากนี้ เงินฝากประกันมูลค่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์อาจขาดทุน ขั้นตอนต่อ ไปสำหรับธนาคารดังกล่าวคือการแทรกแซงจาก Federal Deposit Insurance Corporation
รายงานของนักเศรษฐศาสตร์ระบุ”ธนาคาร ๑๐ เปอร์เซ็นต์มีผลขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้มากกว่าที่ SVB และ SVB ก็ไม่ใช่ธนาคารที่มีทุนจดทะเบียนที่แย่ที่สุด โดยธนาคาร ๑๐ เปอร์เซ็นต์มีทุนที่ต่ำกว่า SVB ในทางกลับกัน SVB มีส่วนแบ่งที่ไม่เท่ากันของเงินทุนที่ไม่มีหลักประกัน: เพียง ๑ เปอร์เซ็นต์ของธนาคารมีเลเวอเรจที่ไม่มีประกันสูงกว่า เมื่อรวมแล้ว การขาดทุนและเลเวอเรจที่ไม่มีประกันจะสร้างความกังวลให้กับผู้ฝากเงินที่ไม่มีประกันของ SVB”
การวิจัยสรุปว่า “ธนาคารเหล่านี้มีความเสี่ยงอย่างแน่นอนที่จะดำเนินกิจการ ต่อไปโดยปราศจากการแทรกแซงจากรัฐบาลหรือการเพิ่มทุน ซึ่งในภาวะตลาดแพนิกย่อมหาผู้กล้าเสี่ยงลงทุนยาก”
แล้วใครจะเป็นรายต่อไป ล่าสุดเส้นชีวิตของธนาคาร First Republic อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้รอดได้ หุ้น First Republic ถูกเทขายลดลงประมาณ ๓๓% เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ก่อน แม้ได้รับเงินช่วยเหลือ ๓๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีจากธนาคารที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งในสหรัฐอเมริกา แต่อาการดีขึ้นเมื่อข่าวธนาคารสวิสเข้าอุ้มเครดิตสวิส และวอร์เรน บัปเฟตต์เข้ามาให้คำปรึกษาไบเดน แต่ปู่วอร์เรน ยังไม่ได้บอกว่าจะทุ่มเงินช่วยแค่ให้คำปรึกษา
ซีมา ชาห์(Seema Shah) หัวหน้านักยุทธศาสตร์ระดับโลกของ Principal Asset Management กล่าวว่าผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ ได้รับแรงกดดันจากคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลง การเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ยังไม่จบความหวังหยุดเลือดไหลอาจไม่เป็นตามนั้น เพราะใครต้องเร่งเอาตัวรอดก่อน โดยเฉพาะมหาเศรษฐีทั้งหลายยังคงถอนเงินสดกันไม่หยุด
ติดตามวันพุธนี้ FOMC จะเผยแพร่การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดของเฟดและการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ คำพูดของเจอโรม เพาเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐจะช่วยบรรเทาสถานการณ์หรือจะยิ่งสุมไฟให้อุณหภูมิการถอนเงินสดให้BankRun หนักขึ้นต้องจับตา!!