เปิดลึก “สี จิ้นผิง” ผู้ชนะสิบทิศ! เยือนรัสเซีย-ลือจ่อคุยเซเลนสกี ขณะ ไบเดน ยั่วยุก่อสงคราม-พาสหรัฐเจ๊งหนัก
จากกรณีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2566 มีรายงานว่า ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และจีน ออกแถลงการณ์ร่วม 3 ประเทศ ประกาศว่า ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านจะฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน โดยภายใน 2 เดือนจะเปิดสถานทูตและองค์กรผู้แทนระหว่างกัน รวมทั้งจะแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี
ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และจีนจะใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
ผู้แทนซาอุดีอาระเบียและอิหร่านชื่นชมและขอบคุณผู้นำและรัฐบาลจีนที่ดำเนินการและสนับสนุนการเจรจาระหว่างกันครั้งนี้จนประสบความสำเร็จ
นายหวัง อี้ ได้แสดงความยินดีต่อทั้ง 2 ประเทศ และกล่าวว่า ทั้ง 2 ชาติได้แสดงออกถึงความจริงใจ และจีนสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อข้อตกลงนี้ ซาอุดีอาระเบียเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกกลาง ส่วนอิหร่านถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่องจากโครงการพัฒนานิวเคลียร์ แต่สหรัฐฯ ไม่ได้มีบทบาทใดๆ ในการเจรจาสันติภาพระหว่าง 2 ประเทศ
ซึ่งโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า รับรู้เรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน และกล่าวว่า “ยินดีต่อความพยายามเพื่อยุติสงครามในเยเมน และลดความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง การลดความขัดแย้งและการป้องปรามเป็นเสาหลักในนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ต่อมาวันนี้ (21 มีนาคม 2566) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการเหยียบแผ่นดินรัสเซียครั้งแรกของผู้นำจีน นับตั้งแต่สงครามในยูเครนเปิดฉากขึ้น และการพูดคุยในระหว่างนี้เป็นเรื่องที่น่าจับตาไม่น้อย
การหารือระหว่างการเยือนที่จะกินเวลาถึง 3 วัน หนึ่งในหัวข้อที่ถูกจับตานั้นหนีไม่พ้นจุดยืน 12 ข้อของจีน ที่เป็นเสมือนข้อเสนอสันติภาพ ประกาศออกมาเพื่อแก้วิกฤตความขัดแย้ง และการเดินทางเยือนในครั้งนี้ได้รับการจับจ้องอย่างมากจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่หวังให้ผู้นำจีนช่วยกดดันรัสเซียให้ยุติสงคราม
สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางถึงสนามบินนานาชาติในกรุงมอสโกของรัสเซียเมื่อเวลาประมาณ 13 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่นหรือประมาณ 17 นาฬิกาตามเวลาประเทศไทย ท่ามกลางการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นการเปิดฉากการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ
หลังจากนั้นได้เดินทางต่อไปเพื่อพบกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ก่อนที่จะเจอหน้ากัน ซึ่งถือเป็นการเดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผู้นำจีนนับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน และสียังถือเป็นผู้นำคนแรกที่ได้เจอและจับมือกับปูตินหลังจากถูกศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ได้รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า สีจิ้นผิงมีแผนที่จะสนทนาทางโทรศัพท์กับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่สงครามเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 โดยคาดว่าการหารือระหว่างสองผู้นำจะเปิดฉากขึ้นหลังจากที่สีจิ้นผิงเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางเยือนรัสเซียในสัปดาห์หน้า
ในขณะที่ทางด้านแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า โลกไม่ควรจะหลงกลไปกับความเคลื่อนไหวใด ๆ ของรัสเซียที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนหรือประเทศอื่นใดที่พยายามจะยุติสงครามด้วยเงื่อนไขที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง และการเรียกร้องเพื่อให้มีการหยุดยิงเป็นเพียงแค่การซื้อเวลาเพื่อให้รัสเซียเร่งพัฒนากำลังพลและอาวุธเพื่อกลับมารุกคืบต่อ
ส่วนด้านจอห์น เคอร์บี โฆษกด้านความมั่นคงสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ หวังว่าผู้นำจีนจะกดดันให้ผู้นำรัสเซียยุติการโจมตีเมือง โรงพยาบาล และโรงเรียนของยูเครน ยุติอาชญากรรมสงครามและความโหดร้ายป่าเถื่อน และถอนกำลังออกไปพร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้นำจีนพบกับโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เพื่อรับฟังเสียงจากชาวยูเครนโดยตรงไม่ใช่แค่เฉพาะรัสเซีย และยังระบุว่า สหรัฐฯ ไม่รู้ว่าจีนมีแผนที่จะช่วยเหลือทางทหารแก่รัสเซียในสงครามหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ที่เกิดเหตุระเบิดใต้ทะเลเมื่อปลายเดือนกันยายน 2566 ส่งผลให้เกิดรอยรั่วที่ท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม ซึ่งเป็นเส้นทางส่งพลังงานสำคัญให้กับเยอรมนี ซึ่งซีมัวร์ เฮิร์ช ผู้สื่อข่าวที่มีรางวัลพูลิตเซอร์การันตีได้กล่าวหาว่า นักประดาน้ำของกองทัพเรือสหรัฐได้ลอบวางระเบิดท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีมโดยเรื่องนี้ทำให้เพนตากอนได้ออกมาปฏิเสธในทันที
ในขณะที่รัฐบาลกับสภาคองเกรสสหรัฐ มีเวลาเหลือไม่เกิน 4 เดือน เพื่อตกลงกันขยายเพดานหนี้ดินพอกหางหมูออกไปอีก มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญการทวงเงินจากเจ้าหนี้ และผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้เครดิตของสหรัฐ ถูกลดระดับลง มีแนวโน้มว่าจะทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยในทันที ใครมาทวงก็ต้องอาละวาดข่มขู่หรือทำสงครามล้มกระดานเลิกหนี้ต่อกัน แบบที่เคยทำกับอิรัก และลิเบียมาแล้ว วิกฤตเพดานหนี้ของชาติครั้งนี้ของสหรัฐฯ นับเป็นการเผชิญวิกฤตการคลังครั้งใหญ่มีหนี้สาธารณะมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ