ไม่น่ารอด!? UBS ธนาคารยักษ์สวิสเทคโอเวอร์Credit Suisse ยังแห่ถอนเงินสด BlackRock สหรัฐฯไม่เสี่ยงอุ้ม

0

และแล้ว UBS ยักษ์ใหญ่ด้านการธนาคารของสวิส ก็ได้บรรลุข้อตกลงเพื่อซื้อกิจการ Credit Suisse อดีตคู่แข่งที่ป่วยหนัก ขณะที่มีข่าวว่า กลุ่มBlackRock สนใจแต่ผู้บริหารปฏิเสธว่าไม่จริง

ก่อนหน้านี้ ด้วยความกังวัลของภาวะBankRunโดมิโน จะลามหนักทั่วยุโรปสวิสเซอร์แลนด์กำลังพิจารณาให้ธนาคารที่ประสบปัญหาล้มละลายกลายเป็นของรัฐหากการควบรวมกิจการกับ UBS ล้มเหลว ซึ่งยิ่งทำให้เกิดการถอนเงินสดอย่างต่อเนื่องจากเศรษฐีเจ้าของหุ้นที่มีเงินฝากมากมายในแบงก์เจ้าปัญหา ภาคประชาชนก็หูผึ่งว่ารัฐบาลจะไปอุ้มก็คือเอาภาษีที่เก็บจากชาวบ้านไปอุ้มธนาคารเน่า แต่พอดีข่าวใหม่ว่าการควบรวบกิจการน่าจะเป็นไปได้แต่ก็ต้องยอมกะรันตีโดยรัฐบาล 

ธนาคารCredit Suisse แห่งนี้ใหญ่เป็นอันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์ รองจาก USB และถือว่ามีความสำคัญเชิงระบบทั้งในสวิตเซอร์แลนด์และทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านการธนาคารเตือนว่าความล้มเหลวของธนาคารจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินทั่วโลกทั้งหมดทำให้รัฐบาลนิ่งเฉยปล่อยเอกชนแก้ไขกันเองไม่ได้

วันที่ ๒๐ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และสปุ๊ตนิกรายงานว่า UBS Group และ Credit Suisse Group ซึ่งเป็นสองชื่อที่ใหญ่ที่สุดในด้านการธนาคารของยุโรป กำลังร่วมมือกันในข้อตกลงที่รัฐบาลเป็นนายหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบการเงินของตะวันตกและป้องกันวิกฤตโลก

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา UBS ตกลงที่จะจ่ายเงิน ๓ พันล้านฟรังก์สวิส คิดเป็น ๓.๒๔ พันล้านเหรียญสหรัฐ ในสต็อกเพื่อเข้าซื้อกิจการคู่แข่งที่สู้รบกันในการเทคโอเวอร์ภายใต้การค้ำประกันของรัฐบาล และเงิน ๑๐๐ พันล้านฟรังก์สำหรับความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องจากธนาคารกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ราคาที่ตกลงร่วมกันของ ๑ หุ้น UBS สำหรับแต่ละ ๒๒.๔๘หุ้นของ Credit Suisse ประเมินมูลค่าธนาคารแห่งหลังนี้ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาปิดตลาดในวันศุกร์ ธุรกรรมนี้กำหนดให้ UBS ดูดซับความเสียหายที่ Credit Suisse ได้ถึง ๕.๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

คริสติน เลอการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป(European Central Bank President Christine Legarde)กล่าวถึงการควบรวมกิจการว่า “ฉันยินดีกับการดำเนินการที่รวดเร็วและการตัดสินใจของทางการสวิส” “พวกเขาเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูสภาพตลาดที่เป็นระเบียบและประกันเสถียรภาพทางการเงิน” แม้ว่าภาคการธนาคารของภูมิภาคนี้จะ“มีความยืดหยุ่น”เธอกล่าวเสริมว่า“ชุดเครื่องมือนโยบายของเรามีอุปกรณ์ครบครันเพื่อให้การสนับสนุนด้านสภาพคล่องแก่ระบบการเงินในเขตยูโร หากจำเป็น และเพื่อรักษานโยบายการเงินที่ราบรื่น”

การควบรวมกิจการของธนาคารสวิสที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งของสวิตเซอร์แลนด์มีกำหนดจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ รัฐบาลตะวันตกและธนาคารกลางพยายามที่จะป้องกันความล้มเหลวของธนาคารหลังจากการล่มสลายของธนาคาร Silicon Valley และ Signature Bank ในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนนี้

FILE PHOTO: European Central Bank President Christine Lagarde in Brussels, Belgium 

เมื่อเดือนที่แล้ว Credit Suisse รายงานผลขาดทุนสุทธิในปี ๒๕๖๕ ที่ ๗.๓ พันล้านฟรังก์ และเตือนว่าจะเกิด การขาดทุน “จำนวนมาก” อีกครั้งในปี ๒๕๖๖ ก่อนที่คาดว่าจะกลับมาทำกำไรได้ในปี ๒๕๖๗ เมื่อลูกค้าแห่ถอนเงินเป็นจำนวนมาก Credit Suisse จึงหันไปหาธนาคารกลางสวิสเพื่อ ขอกู้เงินจำนวน ๕๐ พันล้านฟรังก์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ธนาคารที่ควบรวมกันใหม่นี้จะมีสินทรัพย์การลงทุนมากกว่า ๕ ล้านล้านดอลลาร์ โคล์ม เคลเลเฮอร์(Colm Kelleher) ประธาน UBS แถลงข่าวที่เมืองเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า “ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดดีลการซื้อกิจการและทำให้ประสบความสำเร็จ สิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อโครงสร้างทางการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ และต่อระบบการเงินทั่วโลก”

มีรายงานว่ารัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์อาจเข้าซื้อกิจการบางส่วนหรือทั้งหมดของ Credit Suisse หากการควบรวมกิจการกับ UBS ล้มเหลว

ซูริคกำลัง“พิจารณาว่าจะเข้าซื้อกิจการธนาคารเต็มจำนวนหรือถือหุ้นใหญ่”หากข้อตกลง UBS ล้มเหลว“เนื่องจากความซับซ้อนในการจัดการข้อตกลงและกรอบเวลาอันสั้นที่เกี่ยวข้อง”

มีรายงานว่าทางการได้ตกลงที่จะเขียนกฎหมายการธนาคารของสวิสใหม่เพื่อให้บริษัทต่างๆ ข้ามการลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นที่จำเป็นและติดตามการควบรวมกิจการอย่างรวดเร็ว

มีรายงานว่า Credit Suisse พิจารณาการประเมินมูลค่าที่ต่ำเกินไป และข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร เนื่องจากจะมีการจ่ายเงินให้พวกเขาเพียง ๐.๒๕ ฟรังก์สวิสในหุ้น UBS ต่อหุ้น ในขณะที่การถือครองของพวกเขายังคงมีมูลค่า ๑.๘๖ฟรังก์สวิสเมื่อปิดตลาด ในวันศุกร์ที่ผ่านมา การควบรวมกิจการจะลดงานหลายพันตำแหน่งจากธนาคารที่ล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนกวาณิชธนกิจ 

ด้านBlackRock ปฏิเสธว่าไม่สนใจร่วมข้อตกลงซื้อกิจการCredit Suisse Group AG หลังจาก Financial Times รายงานว่าสนใจ

โฆษกของยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนของสหรัฐฯ กล่าวยืนยันว่า “BlackRock ไม่ได้มีส่วนร่วมในแผนการซื้อกิจการ Credit Suisse ทั้งหมดหรือบางส่วน และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในการทำเช่นนั้น” 

อนาคตของ Credit Suisse ดูเหมือนจะแขวนอยู่บนความสมดุลหลังจากเส้นชีวิตหลายพันล้านดอลลาร์ที่เสนอโดยธนาคารกลางสวิสเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่สามารถทำให้นักลงทุนสงบลงได้ ยิ่งซาอุดีอาระเบียปฏิเสธเข้ามาเพิ่มทุน ยิ่งทำให้นักลงทุนขวัญเสีย นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังทั้งของสหรัฐและยุโรปออกมาวิจารณ์์สถานการณ์ว่า กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะThe Great Recessionทั้งสหรัฐและยุโรป จากการประมาณการโดยนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ได้แสดงความกังวลว่าธนาคารอเมริกันอื่นๆ เกือบ 200 แห่งอาจเผชิญกับความเสี่ยงที่คล้ายคลึงกับ SVB ก่อนการล่มสลายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ !!