จากกรณีธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐต้องล้มละลาย นักลงทุนแห่ถอนเงินสดออก ต่อมาธนาคารกลางฯต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่รายงานระบุถึงประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปก็กำลังประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจตามอเมริกาด้วย
ล่าสุดวันนี้ 18 มีนาคม 2566 Blockdit World Update เปิดเผยถึงสถานการณ์ของกลุ่มยุโรปที่กำลังประสบวิกฤตตามสหรัฐว่า“หลังจากสหภาพยุโรป (EU) หลงเชื่อสหรัฐ คว่ำบาตรรัสเซีย แล้วติดหล่มสงครามในยูเครน สภาพความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร สังคมขัดแย้ง
อัตราเงินเฟ้อสหภาพยุโรปเฉลี่ย 8.5% ส่งผลให้เกิดวิกฤติค่าพลังงานแพง ค่าครองชีพสูง จนประชาชนไม่พอใจ พากันลงถนนก่อม็อบประท้วงยืดเยื้อแรมปี
ที่หนักรุนแรงสุดน้องๆสงครามกลางเมือง คือฝรั่งเศส ที่ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดการก่อจลาจล ทุบทำลาย เผาบ้านเผาเมืองลงได้ สภาพกรุงปารีสในยามนี้คือ ภูเขาขยะ เกลื่อนสกปรกไร้ราศรี
ปัญหายุโรปปะทุเมื่อธนาคารเก่าแก่ใหญ่อันดับโลก Credit Suisse สวิตเซอร์แลนด์ขาดทุนต่อเนื่องตลอดปี 2565 กว่า 7,290 ล้านฟรังก์ ต้องเลิกจ้างพนักงานถึง 8% จนธนาคารแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย (Saudi National Bank) ปฏิเสธไม่ลงทุนเพิ่มด้วยอีกแล้ว
ทำให้เกิดการแห่ถอนเงินอย่างต่อเนื่อง หุ้นตกกว่า 23% จนแทบไม่มีเงินจ่ายผู้ถอนเงิน ต้องกัดฟัน ขายผ้าเอาหน้ารอด กู้ธนาคารกลางสวิสฯ จำนวน 54,000 ล้านดอลลาร์
แต่ก็แค่ลดการขาดทุนได้บางส่วนชั่วคราว เพราะปัญหาหลักยังคงอยู่ คือ ขาดทุนสะสมสูงอย่างต่อเนื่อง , มีหนี้สินสูงติดลบทางบัญชี , ขาดความเชื่อมั่น และ ที่สำคัญ คือ เป็น Primary Dealers ของ พันธบัตรสหรัฐ ที่มีปริมาณการเทรดมากที่สุด และกำลังถูกธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่เป็นองค์กรภาคเอกชนของธนาคารใหญ่ขึ้นดอกเบี้ยจนพันธบัตรด้อยค่าลง
นี่คือปัญหาใหญ่ของธนาคาร Credit Suisse ที่แค่มวยหยอดน้ำข้าวต้มนับ 8 เท่านั้น ยังต้องเจออีกหลายยกที่หนักหนา ศึกยกต่อไปคือ การขึ้นดอกเบี้ย
นาง Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) แถลงประกาศ ในนครแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ว่าจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 50 จุดพื้นฐาน หรือ 0.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยธนาคารเป็น 3%
ตามแผนเดือน พฤษภาคม จะเพิ่มอีก 0.25% ตามด้วย เดือน มิถุนายน อีก 0.25% รวมเป็น 4% นี่คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรไปด้วย ก็ไปซ้ำรอยสหรัฐ คือ มูลค่าพันธบัตรด้อยค่าลง
ตามด้วยปัญหาอีหรอบเดิมคือ ขาดสภาพคล่อง เกิดความวุ่นวายภาคธนาคาร หุ้นตก บีบให้ธนาคารเล็กในชาติยุโรปต้องมาขอกู้ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
หรือขายกิจการให้ธนาคารใหญ่ เพื่อหนีภาวะล้มละลาย ส่วนประชาชนคนธรรมดาจะต้องจ่ายบิลค่าที่อยู่อาศัยแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ชักหน้าไม่ถึงหลังหนักกว่าเดิม
วิเคราะห์ว่า..เป็นปรากฎการณ์ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แก้ปัญหาหนึ่ง ก็จะเจอปัญหาใหญ่กว่าวนลูปไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยุโรปตกหล่มสงครามในยูเครน ดังนั้นการถือพันธบัตรสหรัฐ และสหภาพยุโรป ก็คือ เผือกร้อน ยิ่งถือไว้ยิ่งด้อยค่าลง เป็นแค่ กระดาษความเชื่อใจ ที่ไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้วแน่นอน”