โดนอ่วม! เครดิตสวิส แช่แข็งเงินรัสเซีย โร่กู้เงินเพิ่ม 54,000 ดอลลาร์ ด้านธนาคารกลางซาอุฯ เทไม่ช่วยเหลือ
จากกรณีเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 66 กรณีมูลค่าหุ้นของ “ธนาคารเครดิต สวิส” (Credit Suisse) ร่วงลงไปถึง 24% ภายในวันเดียว จากความวิตกของนักลงทุนต่อสถานะการเงินบริษัท หลังจากวิตกกังวลจากในช่วงที่ผ่านมาเครดิต สวิส ได้เผชิญกับปัญหาด้านเงินทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการขาดทุนถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 300,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินเมื่อปี 2551
ต่อมาทาง Blockdit World Update ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยบอกว่า จากกรณีปีที่ผ่านมา ธนาคารในสหรัฐ ยุโรป ชักดาบยึดเงินฝากไม่จ่ายหนี้ให้ธนาคารกลางรัสเซีย 300,000 ล้านดอลลาร์ และยังชักดาบเงินฝากบริษัท และบุคคลรัสเซีย ที่ทำมาหากินปกติอีกจำนวนมาก ถือเป็นการ”โกง”ผู้ฝากเงินอย่างผิดกฎหมายสากลชัดแจ้ง สิ่งนี้ทำให้บรรดากระทรวงการคลัง , ธนาคารชาติ , ธุรกิจเอกชน , มหาเศรษฐี , นักการเมือง กลุ่มชนชั้นสูงจากทั่วโลก
ชาติที่มีความสัมพันธ์กับรัสเซีย ตระหนักได้ถึงภัยคุกคามการถูกโกงเงินฝากมหาศาลของตนไปอย่างดื้อๆ และขาดความเชื่อถือในธนาคารชาติตะวันตก การระดมถอนเงินฝากของตนจากบรรดาธนาคารเหล่านั้นเกิดขึ้นมาตลอด 1 ปี แรกๆ ธนาคารก็รับสภาพขาดทุนไหว แต่นานวันเข้าเงินที่ถูกถอนออกตลอดเวลานั้นยิ่งรุนแรงหนักขึ้นไม่หยุด
สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่มีนโยบายเป็นกลางมายาวนานผ่านพ้นวิกฤติมาได้แม้ช่วงสงครามโลกที่ผ่านมา แต่ปี 2565 ที่ผ่านมาสูญเสียความเป็นกลางด้วยการคว่ำบาตรธนาคารกลางรัสเซีย ตัดออกจากระบบโอนเงิน SWIFT เงินฝากธนาคารรัสเซียถูกอายัดแช่แข็ง เงินใหม่ค้าขายสินค้าโภคภัณฑ์รัสเซียไม่ไหลผ่านในรูปแบบเงินดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ ฟรังก์ หายวับอันตรธานไปจากระบบ
ที่ทำให้ถึงจุดสลบคือ บรรดาอีลิทมหาเศรษฐีพันธมิตรรัสเซีย ขาดความเชื่อถือในธนาคารกลัวถูกแช่แข็งชักดาบ จึงแห่ระดมถอนเงินฝากออกซ้ำเติมสภาพคล่องธนาคารสวิสฯ แค่ไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ผ่านมาลูกค้าร่ำรวยแห่ถอนเงินฝากมากถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ขาดทุนบักโกรกตลอดทั้งปีสะสม 7,290 ล้านฟรังก์ ต้องเลิกจ้างพนักงานถึง 8% ก็หยุดการขาดทุนไม่อยู่
ยิ่งเมื่อ ประธานธนาคารแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย (Saudi National Bank) ถอนเงินฝากและปฏิเสธไม่ลงทุนอีกแล้วในธนาคารยักษ์ใหญ่ Credit Suisse สวิสฯ ยิ่งตอกย้ำความอ่อนแอและความเสี่ยงในฐานะธนาคาร หุ้นร่วงระเบิดเถิดเทิง ด้อยค่าสินทรัพย์ลงไปกว่า 23% หรือราว 1 ใน 4 จนต้องหยุดพักชำระซื้อขายชั่วคราว นี่คือสัญญาณเลวร้ายของธุรกิจธนาคารว่า “สิ้นสภาพคล่องเงินหมุนเวียนแล้ว”
และจุดนั้นก็มาถึงจนได้ เมื่อธนาคารเก่าแก่สวิสฯ แห่งนี้ที่รอดปากเหยี่ยวปากกามาตลอด แต่ดันไปอายัดแช่แข็งเงินธนาคารกลางพญาหมีก็เลยงานเข้าต้อง “ขอกู้” เสียแล้ว ธนาคาร Credit Suisse ประกาศว่าจะกู้ยืมเงินสูงถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ จากธนาคารกลางสวิสฯ เพื่อใช้จ่ายหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงแห่ถอนเงิน
แม้ว่าการประกาศขอกู้เงินของธนาคารสวิสฯ จะช่วยลดการขาดทุนได้บางส่วน แต่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะลูกค้าก็ไม่เชื่อมั่นอยู่ดีตราบที่ยังชักดาบเงินฝากไม่คืนหนี้ให้ธนาคารกลาง และเอกชนชาวรัสเซีย การที่นักลงทุนเงินฝากรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางซาอุฯ ยืนยันว่าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเงินฝากและลงทุนเพิ่มเติมกับธนาคารสวิสฯ ได้คือสัญญาณว่า “เอาไม่อยู่”
วิเคราะห์ว่า..เงินอุ้มให้กู้แก่ธนาคารสวิสฯ แค่ 54,000 ล้านดอลลาร์ หรือ จะระดมกู้เพิ่มอีก 3,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต มันก็คือหนี้สินทางบัญชี ย่อมไม่ใช่ “ผลกำไรประกอบการ” การกู้ยืมก็คือขาดทุนติดลบ ย่อมไม่อาจเท่ากับผลกำไรเป็นบวก จึงไม่อาจเรียกความเชื่อมั่นสถานะความมั่นคงธนาคารได้ คาดว่าซาอุฯ และผองเพื่อนชาติพลังงานผู้ร่ำรวย จะยังคงแห่ถอนเงินฝากและเทขายหุ้นกันต่อไป
และจะไม่เอามาฝากเพิ่มอีกแล้วเพราะหวาดกลัวถูกอายัดแช่แข็ง เป็นการกดดันทางอ้อมให้ธนาคารสวิสฯ และธนาคารเครือข่ายในยุโรป ให้เคลียร์หนี้สินค้างเก่าคืนเงินฝากแก่ธนาคารรัสเซียก่อน ไม่ใช่การกู้เงินใหม่มาโป๊ะงบดุลผักชีโรยหน้า แล้วซุกปัญหาเดิมใต้พรมต่อไป เท่ากับ”ซ่อนหนี้” ก้อนใหญ่ไว้โดยไม่คืนผู้ฝากเงิน
นี่คือผลสืบเนื่องจากการชักดาบเงินฝากธนาคารกลางรัสเซีย และตัดระบบโอนเงิน SWIFT ที่เป็นบูมเบอแรงย้อนกลับมามีผลโดยตรงต่อสถานะการเงินธนาคารชาติตะวันตก ถ้ายังไม่เคลียร์หนี้คืนรัสเซีย ก็ไม่จบวิกฤติการเงิน ขาใหญ่แห่ถอนจนธนาคารร่อแร่ถมเงินอุ้มเท่าไรก็ไม่เต็มแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.blockdit.com/world.update
อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/profile.php?id=100077775671454