วันที่รอคอย!! จีน-รัสเซียเชื่อมต.อ.กลางจับมือกัน ขุมกำลังใหม่เปลี่ยนโลก ผนึกลุยต.ต.ขั้วเดี่ยวครอบงำ

0

ปักกิ่งเปิดมิติใหม่ที่รอคอยมานานประสานประเทศมุสลิมที่ไม่ขัดแย้งกันมานับทศวรรษ เหตุการณ์ครั้งนี้บ่อนทำลาย ‘ระเบียบ’ ที่ครอบงำโดยสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้มายาวนาน

ขณะเดียวกันรัสเซียกำลังเตรียมจัดประชุมระหว่างตุรเคีย-ซีเรีย-อิหร่านที่มอสโคว์เร็วๆนี้อย่างที่เมกาคาดไม่ถึง เพราะในฐานะที่ตุรเคียเป็นสมาชิกของนาโต้หากจับมือกับอิหร่ายและรัสเซียที่เมกาถือว่าเป็นศัตรูสำคัญที่ต้องปราบปรามทำลายให้จงได้ จะเป็นความสำเร็จของฝ่ายโลกหลายขั้วอย่างมีนัยสำคัญที่ทำเมกาจุกเกินบรรยาย

ปรากฎการณ์สำคัญสองเหตุการณ์นี้บ่งบอกชัดว่า โลกมุสลิมกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภายใต้ความเชื่อที่ต่างนิกายและได้กลายเป็นชนวนให้ตะวันตกยุแหย่ให้แตกกันหนักขึ้นหลายทศวรรษ กำลังได้รับการประสานจากคนกลางที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารสามารถต่อกรกับพลังอำนาจขั้วเดี่ยวที่นำโดยสหรัฐฯได้ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่สงครามตัวแทนในยูเครนเปิดฉาก และครบรอบปีด้วยความพ่ายแพ้ของยูเครนและนาโต้ แม้ยังไม่ราบคาบแต่การรุกคืบไม่หยุด ทำลาย

กองทัพตัวแทนในยูเครนได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ส่งสัญญาณว่า หากยุโรปรบกับรัสเซียเมื่อไหร่ อาจมีสภาพไม่ต่างจากยูเครนวันนี้ 

วันที่ ๑๔ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า ซาอุดิอาระเบียและอิหร่านได้ประกาศข้อตกลงครั้งสำคัญที่จีนเป็นกาวใจในกรุงปักกิ่ง เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ข้อตกลงดังกล่าวทำให้สองคู่แข่งตัวฉกาจในตะวันออกกลางตกลงที่จะละทิ้งความแตกต่างและฟื้นความสัมพันธ์เป็นปกติ

นี่เป็นข้อตกลงครั้งแรกที่จีนผลักดันและดูแล โดยวางกรอบตัวเองว่าเป็นผู้สร้างสันติภาพ และแสดงให้เห็นว่าความมุ่งมั่นของจีนที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวาทศิลป์เท่านั้น แต่เป็นเนื้อหาที่เกิดขึ้นจริง บางคนอธิบายว่ามันเป็นสัญญาณของ  “การเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ”

แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญกับผลกระทบครั้งใหญ่ต่ออิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งวอชิงตันมีมาอย่างยาวนานในภูมิภาคผ่านความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับประเทศต่างๆ เช่น ซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ยังทำลายการรณรงค์ของสหรัฐฯ ที่กดดันและโดดเดี่ยวอิหร่านอย่างมีประสิทธิภาพ และขัดขวางความพยายามของสหรัฐฯ ในการกำหนดรูปแบบการเมืองในภูมิภาคให้เป็นที่โปรดปรานของอิสราเอลผ่านข้อตกลงอับราฮัม 

ไม่แปลกใจเลยที่สื่อตะวันตกจะเรียกข้อตกลงที่จีนเป็นกาวใจครั้งนี้ว่า“ท้าทาย”ต่อคำสั่งระหว่างประเทศ แต่คำสั่งนั้นคืออะไร? ความสามารถของสหรัฐในการครอบครองตะวันออกกลาง? บางทีการเจรจาสันติภาพก็เป็นสิ่งที่ดีมิใช่หรือ?

นโยบายต่างประเทศของสหรัฐในตะวันออกกลาง เริ่มขึ้นนับตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิอาณานิคมยุโรป สหรัฐฯ เป็นเจ้าโลกทางทหารแต่เพียงผู้เดียวในตะวันออกกลาง โดยใช้เครือข่ายพันธมิตรตั้งแต่อิสราเอลไปจนถึงรัฐอ่าวเพื่อรักษาอำนาจเหนือภูมิภาคและปล่อยให้สหรัฐฯ ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานของตน เพื่อรักษาตำแหน่งนี้ไว้ สหรัฐฯ ต้องการคู่อริมายาวนานเพื่อยุติปัญหาด้านความมั่นคงที่ดำเนินอยู่และบังคับให้พึ่งพาในฐานะผู้ค้ำประกันความปลอดภัย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อศูนย์อุตสาหกรรมทางทหารของสหรัฐฯด้วย นโยบายเหล่านี้สะสมมานานหลายทศวรรษจากสงคราม การก่อความไม่สงบ และความพยายามในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศที่แข็งข้อ

ผู้ขัดขวางวาระครอบงำทรัพยากรของสหรัฐฯ ได้แก่ ระบอบการปกครองแบบอาหรับที่ปฏิวัติ เช่น อิรักของซัดดัม ฮุสเซน และซีเรียของบาชาร์ อัสซาด และแน่นอน สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านหลังปี ๒๕๒๒ หลังจากที่สหรัฐฯ ล้มเลิกความพยายามที่ล้มเหลวในการโค่นล้มอัสซาด ผู้กำหนดนโยบายในคณะบริหารของทรัมป์ ตัดสินใจมุ่งความสนใจไปที่กรุงเตหะราน ฉีกการเข้าร่วมของสหรัฐฯ ในแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ควบคุมนิวเคลียร์ที่รู้จักกันในนาม ข้อตกลง JCPOA และบังคับใช้การคว่ำบาตรที่ทำให้อิหร่านหมดอำนาจเป็นอัมพาตทางเศรษฐกิจ  ในการตอบโต้ อิหร่านได้ทำสงครามตัวแทนหลายครั้งกับพันธมิตรของสหรัฐฯในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือกลุ่มเฮาซีในเยเมนกับรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากซาอุดิอาระเบีย ซึ่งดูแลการทิ้งระเบิดพรมในพื้นที่ยึดครอง

ด้านจีน นโยบายของจีนในตะวันออกกลางไม่เหมือนกับสหรัฐฯ คือไม่แทรกแซง และวางตัวเป็นกลางในความขัดแย้งระดับภูมิภาค โดยแสดงท่าทีเคารพอำนาจอธิปไตยของชาติ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าปักกิ่งไม่มีผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ ขณะที่จีนเติบโตและพัฒนาภายในประเทศ ความต้องการเข้าถึงแหล่งพลังงานอย่างปลอดภัยก็เพิ่มขึ้น นำไปสู่การผลักดันทางการทูตเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศในภูมิภาค และสิ่งนี้ยิ่งเร่งตัวขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ผลักดันให้แยกจีนออกจากจีนทิศตะวันตก เหมือนกับที่กำลังทำกับรัสเซีย  แม้จะมีการแย่งชิงอำนาจภายในภูมิภาค แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ปักกิ่งได้ประกาศความร่วมมือทางยุทธศาสตร์  กับทั้งอิหร่านและรัฐอ่าวโดยสหรัฐฯไม่อาจขัดขวาง

โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ ตอนนี้รัฐเหล่านี้รับรู้ว่าการครอบงำของสหรัฐที่เหนือชั้น ซึ่งเป็นเป้าหมายนโยบายต่างประเทศที่ชัดเจนนั้นไม่ได้อยู่ในผลประโยชน์สูงสุดของพวกเขาอีกต่อไป  พวกเขาได้พบหุ้นส่วนใหม่ที่ใหญ่กว่าคือปักกิ่ง และรัสเซีย สำหรับจีนไม่เพียงแต่สามารถซื้อน้ำมันของพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังไม่มีหลักคำสอนด้านนโยบายต่างประเทศเกี่ยวกับการเผยแพร่ศาสนาหรือก่อสงครามทั่วทั้งภูมิภาค ด้วยเหตุนี้ เมื่อสหรัฐฯ ยื่นคำขาดต่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าพวกเขาจะไม่ขาย F-35 ให้หากไม่ปลด Huawei ออกจากเครือข่าย 5G อาบูดาบีจึงบอกวอชิงตันว่ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นได้เลย!!