จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรและการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาตลอดหลายเดือน ทำให้หลายประเทศเข้าสู่วิกฤตทางการเงิน แม้มหาอำนาจอย่างสหรัฐก็ไม่รอดพ้นด้วย!!
ทั้งนี้โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2566 Blockdit World Update ได้โพสต์ข้อความเปิดเผยถึงเหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งมีบางช่วงสำคัญที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า
“ด้วยสภาครองเกรสอนุมัติให้รัฐบาลสหรัฐ ก่อหนี้สาธารณะงอกขึ้นมาหลายครั้ง แต่ครั้งสุดท้ายต้องไม่เกิน 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ด้วยรัฐบาลไบเดน ขาดวินัยการเงินการคลังสั่งพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มเป็นว่าเล่น แล้วทุ่มเงินงบประมาณจ่ายค่าอาวุธก่อนให้กับบริษัทผู้ผลิต
ส่งอาวุธไปแล้ววางบิลเรียกเก็บเงินกู้กับชาติเป้าหมาย แต่บางชาติมีเงิน บางชาติถังแตกไม่มี เช่น ยูเครน ส่งผลรายได้วนกลับเข้าประเทศน้อย รายจ่ายนำเข้ามากกว่า เกิดการขาดดุลการค้าราว 100,000 ล้านดอลลาร์/เดือน สะสมเป็นดินพอกหางหมู
แต่จุดสลบของสหรัฐ คือ อำพรางอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง ที่ประกาศออกมาดูเหมือนจะต่ำลง แต่สวนทางกับสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ สังคมที่ราคาสินค้าแพงขึ้นแบบผิดปกติ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ไม่อาจหนีความจริงได้ ต้องประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยถี่ยิบรัวใกล้หมดแม็ก
เพื่อหวังสูบเงินลงทุนสกุลต่างๆ จากทั่วโลกที่อิงคุณค่าทองคำและน้ำมัน ไหลไปสหรัฐ ชุบชีวิตเงินดอลลาร์กระดาษที่ไม่มีอะไรค้ำประกันให้มีชีวิตชีวา ทำลายค่าเงินชาติอื่นให้อ่อนลง หวังจะเป็นเงินสกุลหลักครองโลกต่อไป
แต่การขึ้นดอกเบี้ยสะสมเกิน 5% ย่อมส่งผลไปถึงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ระยะสั้น 2 ปี พุ่งทะยานเกิน 5% ไปด้วย บูมเบอแรงแรก คือ หนี้สาธารณะต่างชาติวิ่งฉิวปานจรวด
เว็ปไซต์ทางการสหรัฐ ที่แสดงหนี้สิ้นสาธารณะที่ https://www.usdebtclock.org ล้นเกินเพดานกฎหมายกำหนดไปแล้วราวเกือบ 31.61 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 133.96% ของ GDP อัตราหนี้น้องๆ ศรีลังกา ช่วงประกาศล้มละลายเพราะหมดปัญญาใช้หนี้
เกินเพดานผิดกฎหมายไปแล้ว 208,000 ล้านดอลลาร์ ซ้ำร้ายในตารางขวามือแสดงมูลค่าแร่ทองคำ แร่เงิน พลังงานน้ำมัน แล้วตีค่าเงินดอลลาร์ไปเทียบเท่ากับศูนย์เท่านั้น หมายถึงรัฐบาลก็ยืนยันเองว่าเงินดอลลาร์ไม่มีคุณค่าแท้จริง เป็นแบบนี้มากว่า 2 เดือนแล้ว
บูมเบอแรงที่น่ากลัวมากถัดไปคือ ธนาคารขาดทุนจนล้มละลาย เริ่มจากธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ที่เน้นปล่อยกู้ให้กับสตาร์ตอัพเทคโนโลยีในสหรัฐ จัดเป็นธนาคารใหญ่อันดับที่ 16 มีสินทรัพย์ประมาณ 210,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าธนาคารเบอร์ต้นของไทย 2 เท่า
แต่กลับประสบปัญหาขาดทุนเพราะเศรษฐกิจสหรัฐ ตกต่ำชะลอตัวในวงกว้างในภาคเทคโนโลยี กลุ่มเป้าหมายของธนาคาร กองทุนใหญ่ๆ แนะนำให้สตาร์ตอัพในเครือข่ายตนถอนเงินออกจากธนาคาร SVB ทั้งหมดทันที หรือลดจำนวนเงินฝากลง
ธุรกิจ และประชาชนจึงแห่ไปถอนเงินฝากบ้างจนธนาคารถังแตก ไม่มีเงินคืนให้เจ้าหนี้ ซ้ำร้ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังส่งผลให้หลักทรัพย์ของธนาคารมีมูลค่าลดลง ต้องกัดฟันเทขายพันธบัตรและสินทรัพย์ในราคาที่ขาดทุน 1,800 ล้านดอลลาร์
ขายหุ้นของธนาคารหวังระดมทุนอีกมูลค่า 2,250 ล้านดอลลาร์ ฉุดกระชากหุ้นของ SVB Financial Group บริษัทแม่ของธนาคาร ลดลงฮวบทันที 60% ในวันเดียว แต่ธนาคารไม่สามารถระดมเงินสดมาคืนเจ้าหนี้ได้ตามเป้า ในที่สุดธนาคาร SVB ก็สิ้นเนื้อประดาตัวประสบปัญหาทางการเงิน ประกาศล้มละลาย ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย กระทรวงปกป้องการเงินและนวัตกรรมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศปิดกิจการของธนาคาร SVB
Federal Deposit Insurance Corp. ประกาศว่าเป็นความล้มเหลวของธนาคารสหรัฐที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกกว่าทศวรรษที่ผ่านมา
ล่าสุดเกิดโดมิโนธนาคาร และสถาบันการเงินใหญ่ Bank Of America และ JPMorgan หุ้นดิ่งเหวลงไปมากกว่า -4% , ธนาคาร First Republic Bank และ PacWest Bancorp หุ้นร่วงหนักกว่า -50% จนต้องถูกระงับการซื้อขายชั่วคราว
นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ารัสเซีย จีน ไม่ใช่ภัยคุกคามความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาวอเมริกัน แต่แท้จริงคือรัฐบาลสหรัฐ และกลาโหมนั่นเอง ที่ใช้เงินทำสงครามวุ่นวายไปทั่วโลก จะดื้อขยายเพดานหนี้พิมพ์เงินเพิ่มอีกสักเท่าใดก็ไม่มีวันสิ้นสุด เงินดอลลาร์ก็ล่มจมอยู่ดี สหรัฐ ประกาศล้มละลายยอมรับความจริงว่าแพ้จีน-รัสเซีย เจ็บแต่จบแน่นอน”
Cr.https://www.blockdit.com/world.update
Cr.https://www.facebook.com/profile.php?id=100077775671454