จากเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) มีมติให้รัสเซียถอนกำลังทหารออกจากยูเครนด้วยเสียงส่วนใหญ่หรือ 141 ชาติ ขณะที่มี 7 ชาติโหวตไม่เห็นด้วย และอีก 32 ชาติที่งดออกเสียงนั้น
ล่าสุดวันที่ 10 มีนาคม 2566 ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความลง Blockdit เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับท่าทีของนานาชาติที่มีต่อรัสเซียว่า “ผมไม่รู้นะครับว่านโยบายต่างประเทศไทย ใครดูแล? รมว.กระทรวงการต่างประเทศหรือนายกรัฐมนตรีของไทย? หรือใครอื่น?
สงครามในยูเครน เป็นสงครามที่เปรียบได้กับสงครามมหาภารตะ ซึ่งอรชุนจะต้องลั่นกลองรบเพราะจำเป็นต้องปกป้องตนเอง วลาดิเมียร์ ปูตินก็เหมือนอรชุน จำเป็นต้องนำกองทัพรัสเซียรบกับกองทัพนาโต้ที่บงการกองทัพยูเครนในประเทศยูเครนอยู่เบื้องหลังเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
แรกๆ มีคนไทยหลายคนด่าวลาดิเมียร์ ปูตินต่างๆ นานา คนเหล่านี้ดูๆ แล้ว เป็นพวกจิตป่วยครับ ไม่เพียงแต่จะด่าวลาดิเมียร์ ปูติน ยังด่าไปถึงคิมจองอัน ยังด่ามูอัมมาร์ กัดดาฟี โดยไม่รู้ว่าคนเหล่านี้สร้างคุณูปการให้ประเทศของพวกเขาเองมามากน้อยเพียงไหน
คนที่ด่าปูติน คิมจองอันและกัดดาฟีเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ถูกล้างสมองด้วยข้อมูลเท็จจากเครือข่าย CIA ที่ป้อนข้อมูลเสียๆ หายๆ ของคนเหล่านี้เข้ามาทางสื่อเป็นระยะๆ จนเกิดความรู้สึกเกลียด พอเกลียดมากๆ ก็ก่นด่าโดยไม่รู้จักคนที่ถูกตนด่าเอาเลยเสียด้วยซ้ำ ผมถึงบอกว่าเป็นพวกจิตป่วย
ตอนนี้ วิญญูชนเกิดขึ้นมากในประเทศไทย กล้านำเสนอข่าว กล้าแฉมากขึ้น สมัยก่อน ในหมู่คนไทย ดูเหมือนจะมีผมอยู่ข้างปูตินอยู่คนเดียว (ขออภัยที่อาจจะมองแคบไปหน่อยเพราะไม่ได้ติดตามใครอื่น) ฝรั่งในไทยก็มีคุณไบรอัน เบเลอติก
ระยะหลัง คนอเมริกันออกมาแฉมีเพิ่มมากขึ้น คนไทยที่กล้านำเสนอข้อมูลตรงข้ามกับสื่อกระแสหลักมีมากขึ้น ทุกคนก็เริ่มเข้าใจความจริงมากยิ่งขึ้น เมืองไทยเป็นฉันใด ต่างประเทศก็เป็นฉันนั้น
แต่ละประเทศต่างมีวิญญูชนที่นำเสนอข่าวทางเลือก ชี้ให้เพื่อนร่วมสังคมได้มองเห็นภัยจากกลุ่มนักล่าอาณานิคมสมัยใหม่ที่สามัคคีกันล่า นานาประเทศจึงหันมาเชียร์รัสเซียมากยิ่งขึ้น
ดูข้อมูลข้างล่างสิครับ ประเทศที่หันมายืนข้างรัสเซียมีมากขึ้น เพราะคนที่เข้าใจปัญหาความขัดแย้งในยูเครนอย่างแท้จริง มีมากขึ้นนั่นเอง ขณะนี้ ประเทศที่วางตนเป็นกลางมี ๓๐.๘% เอียงไปเข้าข้างรัสเซียมี ๒๗.๘%
ประเทศที่เอียงข้างตะวันตกมี ๒๐.๗% ประเทศที่ตำหนิรัสเซียมี ๑๕.๒% ประเทศที่สนับสนุนรัสเซีย ๕.๕% สรุปแล้ว ประเทศที่เข้าข้างรัสเซียมีสูงที่สุดกล่าวคือสูงถึง ๓๓.๓% (๒๗.๘+๕.๕) เชื่อว่าต่อๆ ไปจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้แน่นอน
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยถึงไปอยู่ฝ่ายตำหนิรัสเซียซึ่งมีอยู่ ๑๕.๒% แทนที่จะอยู่ฝ่ายเป็นกลางซึ่งมีอยู่ถึง ๓๐.๘% หรือเอียงไปทางรัสเซีย เพราะเป็นฝ่ายที่มีความชอบธรรมในการทำสงครามมากกว่าอเมริกาด้วยซ้ำ
การประจบสอพลออเมริกามากไป เท่ากับทำให้เมืองไทยถูกมองว่าเป็นทาสหรือเป็นเมืองขึ้นอเมริกา รัฐบาลไทยจึงไม่กล้าตัดสินใจแม้แต่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าผมเป็นรมว. ต่างประเทศ อย่างแย่ที่สุด ผมเลือกเป็นกลาง หาไม่ก็เอียงไปทางรัสเซียครับ”