ศึกศก.เดือด!! ธนาคารยักษ์เมกาเจ๊งยับ หุ้นดิ่งเหวหลังFedจ่อขึ้นดอกเบี้ยหนักกว่าเดิม แห่ถอนเงินสดหวั่นล้มโดมิโน่

0

เรื่องสยองขวัญสำหรับนักลงทุน ทำให้เกิดความตื่นตระหนกสำหรับสื่อตะวันตกไม่น้อย เมื่อหุ้นธนาคารสหรัฐส่วนใหญ่ร่วงลงในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากธนาคารคริปโตซิลเวอร์เกต (Silvergate) ประกาศจะปิดกิจการ และธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley)ประสบกับวิกฤตสภาพคล่อง ทำให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดหุ้นแดงเถือก  ขณะที่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดสี่แห่งของสหรัฐยอมรับ สูญเสียมูลค่าตลาด ๔๖.๕ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดี ความพ่ายแพ้ของธนาคารเขย่าตลาดโลกสะท้อนภาพแนวโน้มขาลงตามแรงขายหุ้นทางการเงินของสหรัฐฯ 

ปรากฎการณ์ Bank Run เกิดขึ้นเนื่องจาก FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นอย่างพรวดพราด และนี่จะไม่ใช่ธนาคารรายแรกและรายสุดท้าย สถานการณ์ดเหมือน “วิกฤตเศรษฐกิจ” ในระดับ The Great Depression ในปี ๑๙๓๐ ได้เริ่มขึ้นแล้วในสหรัฐ และจะลามไปสู่ประเทศอื่นอย่างแน่นอน

ที่สำคัญผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้จำนวนมากพยายามต่อคิวถอนเงินจากธนาคาร Silicon Valley Bank ที่กำลังเจอวิกฤติรวมกันมากถึง ๑.๕ ล้านล้านบาทหลังประกาศผลประกอบการหุ้นดิ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำสถิติกลายเป็นการ Bank Run ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ Financial Crisis ปี ๒๐๐๘ ก็ว่าได้

วันที่ ๑๒ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า ตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงท่ามกลางความกังวลด้านสภาพคล่องในภาคการธนาคาร การล่มสลายเกิดขึ้นโดยธนาคาร SVB Financial ของสหรัฐฯ หรือที่รู้จักในชื่อซิลิคอนวัลเลย์แบงก์ หรือเอสวีบี (Silicon Valley Bank: SVB) ซึ่งร่วงลง ๖๐% ในวันพฤหัสบดี หลังจากเปิดเผยว่าจำเป็นต้องระดมทุนมากกว่า ๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชดเชยการขาดทุนจากการขายพันธบัตรเมกา

การประกาศดังกล่าวเขย่าหุ้นการเงินโดยดัชนี Euro Stoxx Banks ในวันศุกร์เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนนำโดย Deutsche Bank ที่ลดลงมากกว่า 8% Societe Generale, HSBC, ING Group และ Commerzbank ร่วงลงมากกว่า 5%

หุ้นเอเชียประสบกับวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ ๕ เดือน โดยดัชนีฮั่งเสง (Hang Seng) ของฮ่องกงดิ่งลง ๓% จากการขาดทุนในหุ้นเทคโนโลยี ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite) ลดลง ๑.๔% ขณะที่ดัชนีนิเคอิ ๒๒๕ (Nikkei 225) ของญี่ปุ่นลดลง ๑.๖๗%

นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นธนาคารสหรัฐในวันพฤหัสบดีหลังจาก SVB ซึ่งเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ประกาศมาตรการเชิงรุกเพื่อสนับสนุนงบดุล มีรายงานว่าธนาคารถูกบังคับให้ขายพันธบัตรพร้อมขายทั้งหมดโดยขาดทุน ๑.๘ พันล้านดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากลูกค้าเริ่มต้นถอนเงินฝากกันหลายราย

ข่าวที่ติดตามการล่มสลายของธนาคาร Silvergate ที่เน้นการเข้ารหัสลับ นำไปสู่การถอนเงินฝากอีกระลอก ผู้คนที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้บอกกับสื่อ CNBCของเมกา

ทั้งหมดนี้ทำให้ธนาคารที่ใหญ่ที่สุด๔แห่งของสหรัฐฯ ได้แก่ JPMorgan Chase, Bank of America, Wells Fargo และ Citigroup เห็นว่าราคาหุ้นของพวกเขาลดลงสะสม ๕๒ พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

SVB ซึ่งมีมูลค่าตลาด ๑๖.๘ พันล้านดอลลาร์ที่จะสิ้นสุดในสัปดาห์ที่แล้ว มีมูลค่า เป็น๖.๓ พันล้านดอลลาร์ ณ วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

“ปัญหาที่ SVB เป็นเหมือนสายฝนที่เทลงราดหน้านักลงทุน และการที่เฟดเพิ่งพิจารณาการปรับขึ้นเร็วขึ้นอีกครั้ง ศักยภาพของตลาดตราสารทุนจึงไม่มีความสุขอย่างยิ่ง ยิ่งข้อมูลการจ้างงานที่น่าประหลาดใจในส่วนกลับหัวกลับหางนั้นเป็นเรื่องจริง” 

เจมส์ แอเธย์(James Athey) ผู้อำนวยการด้านการลงทุนของบริษัทการลงทุนระดับโลกเอบีอาร์ดีเอ็น (Abrdn) กล่าวกับ Bloombergว่า  “เป็นกรณีที่การขึ้นราคาแบบที่เราได้เห็นจากเฟดมักจะก่อให้เกิดปัญหาที่ไหนสักแห่ง ทำให้นักลงทุนกังวล”

ก่อนหน้านี้ สัญญาณไฟแดงเตือนมีมาก่อนแล้ว ธนาคารแห่งอเมริกาส่งสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจจะถดถอยทางเทคนิคก่อตัวแล้วและจะส่งผลชัดเจนภายในไตรมาสที่สามของปีนี้

ทางด้านสื่อโกลบัลไทมส์ รายงาน นักวิเคราะห์ประเมินเหตุการณ์ว่า “ขณะนี้ธนาคารสหรัฐฯ จ่ายเงินสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศ ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องตกต่ำลง สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ดอลลาร์ด้วย และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลกระทบในวงกว้างในตลาดโลก”

ในขณะที่ความตื่นตระหนกยังคงแพร่กระจาย บริษัทร่วมทุนหลายแห่ง รวมถึง โคตู(Coatue), ยูเอสวี(USV) และฟาวเดอร์ฟันด์ (Founders Fund) แนะนำให้บริษัทถอนเงินออกจาก SVB ตามรายงานของสื่อ

SVB Financial Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ SVB ประกาศขายหุ้นมูลค่า ๒.๒๕ พันล้านดอลลาร์และรอบระดมทุน ๕๐๐ ล้านดอลลาร์ในวันพุธ รายงานทางการเงินที่เผยแพร่โดย SVB ในวันพุธสัปดาห์ก่อนที่หุ้นจะร่วงระนาวจนต้องประกาศปิดการซื้อขาย

ปัน เฮลิน(Pan Helin) ผู้อำนวยการร่วมของ Research Center for Digital Economics and Financial Innovation มหาวิทยาลัยหางโจว(Zhejiang University) กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “อัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ หมายความว่าการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของธนาคารกลางสหรัฐเพื่อขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นไร้ผลในการกดเงินเฟ้อ”

ธนาคารวอลล์สตรีทคาดว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ๕๐ จุดเป็น ๕-๕.๒๕%ในเดือนมีนาคม โดยมีเป้าหมายสูงสุดที่มากกว่า ๖ %ในอนาคต ตามรายงานของสื่อ

“3d render of bank collapsing, with Clipping Path”

หนึ่งในผลลัพธ์ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคือการบีบตัวของเงินดอลลาร์ ซึ่งทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ทั่วโลกลดลง เนื่องจากเงินดอลลาร์คิดเป็นสัดส่วนที่สูงของสภาพคล่องและเงินสำรองทั่วโลก สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับการคุ้มกัน และจะมีผลกระทบตามมาต่อความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ดอลล่าร์ ที่สำคัญปัน ได้เตือนบริษัทหลักทรัพย์ของจีนให้เทพันธบัตรสหรัฐฯและหันไปถือตัวที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า

งานนี้ใครจะพัง เมื่อเครดิตดอลลาร์ดิ่งเหวลงเรื่อยๆ พันธบัตรขายไม่ออกแม้ขึ้นดอกเบี้ยทะลุฟ้า และที่เลี่ยงไม่ได้หลังวิกฤตสองธนาคารยักษ์เปิดเผย หุ้นธนาคาร First Republic และ Pacwest Bancorp ก็ร่วงยับกว่า -๕๐% ในคืนเดียวตามมาติดๆ !!??