ผ่านไปอย่างราบรื่น เมื่อสภาประชาชนสาธารณรัฐประชาชนจีน มีมติเป็นเอกฉันท์ ทั้งหมด 2,952 เสียง รับรองให้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนต่อเป็นสมัยที่ ๓ และดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการทหารกลาง (CMC) ต่ออีก ๕ ปีเป็นสมัยที่ ๓ เช่นกันโดยไม่มีเสียงคัดค้านและงดออกเสียง
ด้านประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย ส่งสาสน์แสดงความยินดีแก่สีจิ้นผิงในทันที ปูตินกล่าวว่าในฐานะประมุขแห่งรัฐมีเกียรติสูง และกลยุทธ์ที่เขากำหนดเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน และการปกป้องผลประโยชน์ของจีนในเวทีระหว่างประเทศได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวจีน พร้อมเสริมว่าเขาเชื่อมั่นว่าด้วยความพยายามร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ความร่วมมือระหว่างรัสเซีย-จีนในด้านต่างๆ จะยังคงให้ผลที่งอกงามต่อไป
คิม จองอุน(Kim Jong-un) เลขาธิการใหญ่พรรคแรงงานแห่งเกาหลีและประธานคณะกรรมาธิการกิจการของรัฐแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK) ส่งข้อความแสดงความยินดีอย่างอบอุ่น
คิมกล่าวว่า เชื่อกันว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรแบบดั้งเดิมระหว่างเกาหลีเหนือและจีนจะดำเนินต่อไปอย่างลึกซึ้งและพัฒนาตามความปรารถนาร่วมกันของทั้งสองฝ่ายและประชาชน ในข้อกำหนดของยุคใหม่
วันที่ ๑๑ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวโกลบัลไทม์และซินหัวรายงานว่า ในวันศุกร์ที่ ๑๐ มี.ค.ที่ผ่านมา การประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน หรือรัฐสภาจีน ซึ่งมีผู้แทนประชาชนจากทั่วประเทศเกือบ ๓,๐๐๐ คน เข้าร่วมประชุม ได้เปิดการโหวตเป็นเวลานานประมาณ ๑ ชั่วโมง และทำการนับคะแนนเสียงเสร็จสิ้นภายในเวลาราว ๑๕ นาที ผลปรากฏว่า สีจิ้นผิง วัย ๖๙ ปี ได้รับเลือกเป็น ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) และประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง (CMC) อย่างเป็นเอกฉันท์
วงการการเมืองโลกมองว่า สีจิ้นผิง เป็นผู้นำที่ทรงอำนาจอิทธิพลมากสุดของจีนนับจากเหมาเจ๋อตง ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในการเลือกตั้งเดียวกันนี้ เหล่าผู้แทนประชาชนจีน ได้เลือก นายจ้าว เล่อจี้ (Zhao Leji) วัย ๖๖ ปี เป็นประธานสภาคนใหม่ และนายหัน เจิ้ง (Han Zheng) เป็นรองประธานาธิบดี สำหรับผู้นำสองท่านนี้เป็นผู้นำหน้าเก่าในคณะกรรมการประจำกรมการเมือง หรือโปลิตบูโร ที่กุมอำนาจการเมืองสูงสุดในจีน
ในการประชุมอีกสองวันข้างหน้า จะมีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี และตามที่วงการฟันธงกันแล้ว “ว่าที่นายกฯ คนใหม่” คือ หลี่ เฉียง จะขึ้นมากุมอำนาจใหญ่หมายเลขสองของแดนมังกรอย่างเป็นทางการ รับผิดชอบดูแลขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหญ่อันดับ ๒ ของโลกหลังยุคโควิด
สื่อโกลบัลไทมส์รายงานว่า ผลการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นถึงเจตจำนงร่วมกันและความสามัคคีของทั้งประเทศ และยังตอกย้ำข้อได้เปรียบที่สำคัญของจีนในด้านความแน่นอนและความสม่ำเสมอทางการเมือง ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าประเทศจะสามารถเอาชนะความท้าทายและตระหนักถึงความทันสมัยของจีนในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งที่มองไม่เห็นในรอบศตวรรษ
สื่อPeople’s Daily ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์หลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เผยแพร่บทบรรณาธิการเมื่อวันศุกร์ โดยกล่าวว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นระบบผู้นำ “สามประการ” ของ CPC, PRC และกองทัพปลดแอกประชาชน (PLA) และแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบทางการเมืองของความเป็นผู้นำของ CPC และความได้เปรียบเชิงสถาบันของสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน และเป็นการดีสำหรับการเสริมกำลังและส่งเสริม ความเป็นผู้นำโดยรวมของพรรคและดีสำหรับการปรับปรุงระบบความเป็นผู้นำของพรรคและรัฐ
นอกจากนี้ยังดีสำหรับการปกป้องผู้มีอำนาจและความเป็นผู้นำแบบรวมศูนย์และเป็นหนึ่งเดียวของคณะกรรมการกลาง CPC ที่มีสี จิ้นผิงเป็นแกนหลัก วางรากฐานทางการเมืองและองค์กรที่มั่นคงสำหรับการสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ ในทุกด้านและส่งเสริมการฟื้นฟูครั้งใหญ่อย่างรอบด้าน ของประชาชาติจีน
หลี่ ไห่ตง(Li Haidong) ศาสตราจารย์แห่งสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัย China Foreign Affairs กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “ผู้นำที่ได้รับเลือกในวันนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จด้วยสติปัญญาและมุมมองเชิงกลยุทธ์ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา จากความสำเร็จอันน่าทึ่งของพวกเขา ผลการเลือกตั้ง สร้างความมั่นใจให้กับทั้งสังคม และยังสร้างความมั่นใจให้กับประชาคมระหว่างประเทศ เนื่องจากทุกประเทศจะได้เห็นความมั่นคงทางการเมืองที่แข็งแกร่งและความคงเส้นคงวาของจีน”
หวัง อี้เหว่ย ผู้อำนวยการสถาบันกิจการระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีน (Wang Yiwei, director of the Institute of International Affairs at the Renmin University of China) กล่าวว่า ไความเป็นผู้นำของพรรค และแกนนำที่แข็งแกร่งของพรรคและรัฐ ทำให้จีนเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญและไม่เหมือนใครในการเอาชนะความท้าทาย ในภูมิทัศน์โลกที่ผันผวน รวมถึงเพื่อจัดการกับโลกาภิวัตน์ที่กระจัดกระจาย ด้วยการส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก และเพื่อรับมือกับการปราบปรามอย่างสุดโต่งของสหรัฐฯ ที่มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาของจีน”
เมื่อประชาชนจีนตื่นตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของตนสนับสนุนผู้นำ องค์กรอำนาจรัฐเข้มแข็งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กองทัพพร้อม เป็นเช่นนี้ดูท่าว่าสหรัฐฯจะเอาชนะและทำลายจีนไม่ง่ายอย่างที่หวัง แต่ใช่ว่าโอกาสจะไม่มีเพราะสนิมเกิดแต่เนื้อในตนยังแฝงอยู่ ภายใต้ความสำเร็จและมั่งคั่งโดยเฉพาะนายทุนใหญ่ของจีนเอง เป็นโจทย์ที่ผู้นำจีนต้องตีให้แตก แน่นอนว่าสีไม่ประมาท เมื่อจัดประชุมเหล่านักธุรกิจใหญ่จึงปลุกใจให้พึ่งตนเองทางนวตกรรม เร่งปลดแอกจากสหรัฐฯและตะวันตก เพื่อหลักประกันความยั่งยืนอย่างแท้จริงของภาคธุรกิจจีน!!