การประชุมประจำปีสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (National People’s Congress-NPC) ครั้งที่ ๑๔ มีเรื่องเซอร์ไพรซ์สำหรับสหรัฐและบริวารอย่างคาดไม่ถึง เมื่อรมว.ต่างประเทศจีนแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งแรก ทวงถามไบเดนเรื่องแผนทำลายไต้หวัน และประกาศจุดยืนนโยบายต่างประเทศของจีนอย่างเปิดเผย
ฉิน กัง รมว.กต.จีนระบุว่า จีนจะดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยต่อต้านประเทศที่ต้องการเป็นขั้วอำนาจเดียว และใช้อำนาจทางการเมืองนำโลกเข้าสู่ภาวะสงครามเย็น คัดค้านการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว ขณะเดียวกันจะส่งเสริมแนวคิดความทันสมัยแบบจีน ที่เอื้อต่อการมีผลประโยชน์ร่วม สันติภาพ ความเท่าเทียมและการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ผลักดันนโยบายทางการทูตรูปแบบใหม่บนพื้นฐานของการเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน และระบบหลายขั้วอำนาจ สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาให้มีบทบาทมากขึ้นในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ นอกจากนี้จะเรียกร้องให้นานาชาติสนใจประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปพร้อมกันอีกด้วย
นายฉิน แถลงโดยย้ำถึงข้อเสนอของจีนที่ให้มีการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติวิกฤตการณ์ในยูเครน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ จึงจำเป็นต้องอาศัยความสงบเยือกเย็น เหตุผล และการเจรจาเข้าแก้ไข ดังนั้น กระบวนการเจรจาสันติภาพควรเริ่มขึ้นเสียแต่บัดนี้ โดยควรให้ความเคารพต่อข้อวิตกกังวลของทุกฝ่าย เขาย้ำว่า “ดูเหมือนว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังฉุดลากให้วิกฤตการณ์ยืดเยื้อและยกระดับความรุนแรง”
ในประเด็นสหรัฐฯ นายฉิน ระบุว่า ความหวาดกลัวจีนจนขึ้นสมองของสหรัฐฯ กำลังทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีก้าวไปสู่หายนะ เขาตำหนิสหรัฐฯ ว่า เป็นคนก่อวิกฤตด้านการทูตขึ้นมา ด้วยการสร้างเรื่องบอลลูนสอดแนมเป็นตัวเดินเกม ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ เองก็ยอมรับว่า บอลลูนจีนพลัดเข้ามาในน่านฟ้าสหรัฐฯ เป็นอุบัติเหตุและไม่เป็นภัยต่อความมั่นคง แต่รัฐบาลวอชิงตันก็ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ซึ่งละเมิดหลักปฏิบัติและกฎหมายระหว่างประเทศ
นายฉิน กล่าวโจมตียุทธศาสตร์การสร้างแนวร่วมเพื่อล็อกเป้าจีนของรัฐบาลปธน. โจ ไบเดน ว่า “สหรัฐฯมีการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับจีนที่บิดเบี้ยวอย่างรุนแรง สหรัฐฯ ใช้ข้ออ้างการแข่งขันกับจีนมาเป็นหนทางในการบดขยี้จีนในทุกประการ และผลักดันความสัมพันธ์ไปสู่เกม ที่มีผลเพียงแค่ชนะกับแพ้ นายฉิน เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินความสัมพันธ์กับจีนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ๒ ฝ่ายเป็นหลัก ถ้าสหรัฐฯ ยังไม่แตะเบรก แต่ยังคงเดินไปบนเส้นทางที่ผิด ก็ย่อมจะเกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากันอย่างแน่นอน ใครจะแบกรับหายนะที่เกิดขึ้นตามมาเล่า”
เอกอัครราชทูตจีนที่เคยทำงานกับวอชิงตันมาและ ตะวันตกคาดหวังจะเห็นท่วงทำนองเยือกเย็นผ่อนปรน ยังไม่อาจทนพฤติกรรมหยาบหยามต่อจีนของสหรัฐฯ ต้องสับกันตรงๆไม่อ้อมค้อมสไตล์นักรบหมาป่า หรือ วูลฟวอรีเออร์ที่ขึ้นชื่อของจีนขนาดนี้ สำหรับปธน.สี จิ้นผิงยิ่งเด็ด ทั้งหนักแน่นและลุ่มลึก
วันที่ ๘ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวจีนทั้งซินหัว,โกลบัลไทมส์และเซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงแห่งจีนกล่าวว่า “อเมริกานำความท้าทายที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนมาสู่ประเทศจีนในการพัฒนาประเทศ”
วาระสำคัญสำหรับการประชุมรัฐสภาที่กำลังดำเนินอยู่คือการกำหนดวิธีการลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
ผู้นำจีนกล่าวว่า “ประเทศตะวันตกซึ่งนำโดยสหรัฐฯ ได้ดำเนินการกักกันและปราบปรามจีนอย่างรอบด้าน ซึ่งได้นำความท้าทายที่รุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนมาสู่การพัฒนาประเทศ ในอนาคตความเสี่ยงและความท้าทายที่เราเผชิญมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงมากขึ้น”
สีกล่าวย้ำว่า “ในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและซับซ้อนในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศและภายในประเทศ เราต้องสงบสติอารมณ์ รักษาสมาธิ มุ่งมั่นเพื่อความก้าวหน้าในขณะที่รักษาเสถียรภาพ ลงมือปฏิบัติ เป็นหนึ่งเดียวกันและกล้าที่จะต่อสู้กล้าเอาชนะ”
วาระสำคัญสำหรับสภานิติบัญญัติที่กำลังดำเนินอยู่ในประเทศจีนคือการจัดเตรียมกลยุทธ์ในการลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว รัฐบาลกลางได้เสนอเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเพิ่มการใช้จ่ายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒ ในปี ๒๕๖๖ เป็น ๓.๒๘ แสนล้านหยวน ประมาณ ๔.๗ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
สีกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้ จีนจะยกเครื่องกลไกในการจัดสรรและใช้ทุนวิจัยของรัฐบาล และจะ “ให้นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นมากขึ้นเมื่อต้องกำหนดโรดแมปทางเทคโนโลยีและการใช้จ่ายทุนวิจัย” ตามรายงานงบประมาณที่เผยแพร่โดยกระทรวงการคลัง”
ปธน.ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของภาคเอกชนต่อเศรษฐกิจของจีน และกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ เสริมสร้างนวัตกรรมและมีบทบาทที่มากขึ้นในการสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี จีนจะสนับสนุนบริษัทแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเพื่อสร้างงาน ขยายการบริโภค และแข่งขันทั่วโลกอย่างเต็มที่ เป็นการยิงตรงในประเด็นปลดแอกทางเทคโนโลยีและนวตกรรมจากสหรัฐด้วยการพึ่งตัวเองอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกับที่ภาคการเงิน ก็ได้มีการลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้เป็นการประกาศท้ารบ หรือลงสนามทางทหาร แต่การต่อสู้ในภาคเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญแห่งชัยชนะทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งนี้ ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกชัดว่า จีนไม่ถอยและไม่หวั่นหากสหรัฐฯจะรบไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมืองและการทหาร???