ท่ามกลางการขับเคี่ยวของสงครามตัวแทนยูเครน ที่วันนี้บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างนาโต้และรัสเซีย ไม่ใช่ความขัดแย้งและการต่อสู้่ระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างที่กลุ่มแองโกลแซกซอนพยายามวาดภาพมาโดยตลอด
อดีตประธานาธิบดีรัสเซียมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันบ่งบอกถึงการตอกตะปูโลงศพของลัทธิอาณานิคมใหม่ ดมิทรี เมดเวเดฟ กล่าวว่า รัฐที่มีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริงนั้นไม่กลัว ‘เผด็จการตะวันตก’ อีกต่อไปแล้ว
เมดเวเดฟย้ำว่า “รัสเซียพร้อมที่จะช่วยโลกกำจัดร่องรอยของอดีตอาณานิคมที่ตะวันตกครอบงำ ในฐานะประเทศที่รัสเซียไม่เคยมีอาณานิคมใดๆรัสเซียจึงอยู่ในสถานะที่ดีที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้
ในบทความที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เมดเวเดฟอ้างว่า “ ความปั่นป่วนทางการเมืองการทหารได้บ่งฝีของปัญหาเก่าของโลกของเรา” โดยเฉพาะเนื้องอกร้ายของอดีตอาณานิคม โลกจึงได้เห็นการเรียกร้องให้มี ” การผ่าตัดระหว่างประเทศ”
เขาตั้งข้อสังเกตว่าในอดีตสหภาพโซเวียตก็มีบทบาทสำคัญในการทำลายระบบอาณานิคมของศตวรรษที่ ๒๐ ด้วย
เขากล่าวสรุปว่า “รัสเซียร่วมกับประเทศอื่น ๆ สามารถตอกตะปูสุดท้ายในโลงศพของความปรารถนาอาณานิคมใหม่ของโลกตะวันตกได้แล้วในขณะที่ประเทศจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เลิกกลัวอำนาจเผด็จการตะวันตก และเริ่มยืนยันผลประโยชน์ของชาติอย่างแข็งขันมากขึ้น อดีตมหาอำนาจอาณานิคมก็จะต้องสูญเสียการถือครองในภูมิภาคที่พวกเขาเคยคิดว่าเป็นของพวกเขา
ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกซีกโลกหนึ่งที่เคยมีสถานะเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจเก่านักล่าอณานิคม ได้แสดงท่าทีดุดันในความพยายามดิ้นรน ผลักใสออกจากอำนาจครอบงำของตะวันตกอย่างเข้มข้นล่าสุดการเยือนอาฟริกาของมาครง ต้องเผชิญกับความรู้สึกต่อต้านฝรั่งเศสที่หลั่งไหลไปทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกา ซึ่งกองทหารฝรั่งเศสที่ประจำการในหลายประเทศถูกไล่ออกหรือกำลังถูกขับไล่ ซึ่งรวมถึงประเทศต่างๆ เช่น บูร์กินาฟาโซ และมาลี
ฝรั่งเศสมีประวัติอันยาวนานในการมีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้งในแอฟริกา เช่นเดียวกับการติดอาวุธกองกำลังติดอาวุธและร่วมมือกับกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดที่เป็นหัวหอกในสงครามล้างเผ่าพันธุ์ แอลจีเรียเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีผู้เสียชีวิตมากที่สุดขณะต่อสู้กับกองทหารอาณานิคมของฝรั่งเศส
วันที่ ๗ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และอาฟริกานิวส์ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ออกอาการไม่อาจควบคุมตัวเองระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีเฟลิกซ์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เมื่อถูกถามเขาว่า ฝรั่งเศสจะคว่ำบาตรรวันดาหรือไม่ สำหรับการกล่าวหาว่าสนับสนุนทางทหารต่อกลุ่มกบฏ M23 ที่สังหารหมู่ประชาชน
มาครงปฏิเสธด้วยท่าทีไม่พอใจอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า “ตั้งแต่ปี ๑๙๙๔ และไม่ใช่ความผิดของฝรั่งเศส ฉันเสียใจที่ต้องพูดแบบขวานผ่าซาก คุณไม่สามารถฟื้นฟูอำนาจอธิปไตย ทั้งทางทหาร ความมั่นคง หรือการบริหารประเทศของคุณเองไม่ควรโทษผู้อื่น”
มาครง กล่าวว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นหน่วยงานเดียวที่ต้องโทษสำหรับความล้มเหลวในการบรรลุอำนาจอธิปไตยทางทหาร การบริหาร และความมั่นคง และฝรั่งเศสไม่ควรรับผิดชอบต่อความล้มเหลวเหล่านี้”
เมื่อวันพฤหัสบดีสัปดาห์ก่อนช่วงเริ่มต้นการเดินทางเยือนอาฟริกา มาครงกล่าวว่ายุคของการแทรกแซงของฝรั่งเศสในแอฟริกาสิ้นสุดลงแล้ว และไม่มีความปรารถนาที่จะกลับไปสู่อดีต แต่พอถูกถามหรือรือฟื้นกลับปัดความรับผิดชอบโทษว่าประเทสต้นทางไม่แข็งแกร่งพอเอง แน่นอนก็รับเสียงโห่ไป
ขณะที่ตลอดวันเสาร์และอาทิตย์มีการเดินขบวนประท้วงผู่นำฝรั่งเศสต่อเนื่อง ประชาชนอาฟริกันแสดงเจตจำนงค์ชัดเจนว่าไม่ต้อนรับประเทสอดีตเจ้านายที่โหดร้าย และไม่มีความไว้วางใจหลงเหลืออยู่ ขณะที่มีกลุ่มทางเลือกใหม่สำหรับการยอมรับที่ยุติธรรมและเท่าเทียมกว่าเก่า เช่นโลกหลายขั้วที่อาฟริกาปีนี้เป็นแม่งานหลัก กลุ่ม BRICS
ผู้ประท้วงหลายคนชูธงชาติรัสเซียและคนหนึ่งเรียกร้องให้ “ช่วยปูติน” ด้วยความรู้สึกต่อต้านฝรั่งเศสที่พุ่งสูงในภูมิภาค และอิทธิพลของรัสเซียและจีนก็เพิ่มมากขึ้น
เอ็มมานูเอล จูลส์ กาเยมเบ นักเคลื่อนไหวต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมใหม่ชื่อ กลุ่ม แอมิส เดอบรูโน มิมเบงกา(‘amis de Bruno Mimbenga’) ประกาศว่า “เราเดินขบวนต่อต้านประธานาธิบดีฝรั่งเศสเพราะเขาสนับสนุนกองทัพรวันดา เราไม่ต้องการเขาในประเทศของเรา แต่โชคไม่ดีที่เราถูกตำรวจไล่ล่า ฉันหลบหนี และผู้ประท้วงคนอื่นๆ ถูกจับ”
ดูเหมือนว่าทัวร์เยือนอาฟริกา ๕ วันของมาครองคงจบไม่สวย!!??