ไต้หวันเตรียมซื้ออาวุธจากสหรัฐฯเพิ่ม ท้าทายจีนหนักข้อขึ้นทุกวัน หลังได้ข่าวเมกาอนุมัติการขายอาวุธมูลค่า ๖๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐหลายประเภทรวมถึงขีปนาวุธสำหรับติดตั้งในเครื่องบินรบ F-16 โดยมีบริษัท เรเธียน เทคโนโลยีส์( Raytheon Technologies :RTX.N) และบริษัท ล็อคฮีดมาร์ติน (Lockheed Martin :LMT.N) ยักษ์ค้าอาวุธของสหรัฐ เป็นผู้แทนจัดให้กับไต้หวัน ส่งผลให้จีนไม่พอใจและเรียกร้องให้ไต้หวันยุติโครงการจัดซื้ออาวุธดังกล่าว
โดยจีนได้ขึ้นบัญชีคว่ำบาตรบริษัทที่เป็นผู้แทนขายอาวุธของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งสองบริษัทไว้แล้ว นอกจากนี้ กต.จีนยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติแผนการขายอาวุธให้กับไต้หวันด้วย รู้ไม่ระคายจิตสำนึกของสหรัฐฯแต่อย่างไร แต่ทางการทูตจีนแถลงการณ์ประณามอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันก็เคลื่อนไหวทางทหารอย่างต่อเนื่อง
วันที่ ๓ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวโกลบัลไทม์สและรัสเซียทูเดย์รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้เปิดเผยการอนุมัติขายขีปนาวุธและอุปกรณ์ทางทหารมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ให้กับเกาะไต้หวัน
ข้อตกลงดังกล่าวประกอบด้วยขีปนาวุธต่อต้านรังสีความเร็วสูง (HARM) และขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางขั้นสูง (AMRAAM) หลายร้อยลูก เช่นเดียวกับขีปนาวุธฝึก ระบบนำวิถี เครื่องยิงอเนกประสงค์ ชิ้นส่วนอะไหล่ ซอฟต์แวร์ลับ และ อุปกรณ์อื่นๆ. ผู้รับเหมาหลักที่ระบุไว้ในข้อตกลง ได้แก่ Raytheon Missiles & Defense และ Lockheed Martin
แถลงการณ์ของเพนตากอนอ้างว่าการขายดังกล่าว“เป็นผลประโยชน์ระดับชาติ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยสนับสนุนความพยายามอย่างต่อเนื่องของผู้รับในการปรับปรุงกองกำลังติดอาวุธให้ทันสมัย และรักษาความสามารถในการป้องกันที่น่าเชื่อถือ”
ซ้ำกล่าวอีกว่าการเสนอขายยุทโธปกรณ์นี้และการสนับสนุนไต้หวันจะ“ไม่เปลี่ยนแปลงสมดุลทางทหารพื้นฐานในภูมิภาค”แต่จะช่วยเพิ่มความสามารถของไต้หวันในการปกป้องน่านฟ้าและปรับปรุงความมั่นคงในภูมิภาคไปด้วย
ซีเอ็นเอ็นอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯว่าข้อตกลงดังกล่าว“สอดคล้องกับกฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน”เช่นเดียวกับนโยบาย ‘จีนเดียว’ ของวอชิงตัน และจะ“มีส่วนช่วยรักษาสันติภาพและเสถียรภาพทั่วช่องแคบไต้หวันและด้านศาสนา” เขาเสริมว่าไทเปจะใช้เงินทุนของตนเองในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งก็คือเงินภาษีของประชาชนไต้หวันไม่ใช่เงินส่วนตัวของผู้นำไต้หวันอยู่ดี
ปักกิ่งตอบโต้ข้อตกลงดังกล่าวโดยกล่าวว่าละเมิดหลักการ ‘จีนเดียว’ และบ่อนทำลายอธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน ในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เหมา หนิง เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการขายอาวุธและการติดต่อทางทหารกับไทเป
โฆษกยังย้ำว่าปักกิ่งที่มีมาอย่างยาวนานว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่แบ่งแยกไม่ได้ และยืนยันว่า“กิจกรรมแบ่งแยกดินแดน” ของไทเป และความพยายามของวอชิงตันที่จะใช้เกาะนี้เพื่อ“ควบคุมจีน”เป็น“ต้นเหตุ”ของความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน และจะไม่สำเร็จอย่างแน่นอน
เดือนมกราคมที่ผ่านมา จีนจัดการซ้อมรบร่วมขนาดใหญ่โดย มุ่งเป้าส่งสัญญารให้สหรัฐและพวกในย่านนี้รวมถึงไต้หวันว่าจีนจะไม่นิ่งเฉย เมื่อสหรัฐฯตั้งเป้าจีนเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้งและเดินแผนต้านจีนภายในยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกอย่างก้าวร้าว
กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนส่งเครื่องบินรบ ๕๗ ลำและเรือ ๔ ลำไปน่านน้ำทะเลเหลือง ตามคำแถลงของ Shi Yi โฆษกของ Eastern Theatre Command ของ PLA การซ้อมรบมีเป้าหมายหลักคือการฝึกการโจมตีทางบกและการโจมตีทางทะเล”
การซ้อมรบจัดขึ้นเกิดขึ้น หลังการมาเยือนของกลุ่มสมาชิกสภานิติบัญญัติของเยอรมันที่เดินทางถึงไต้หวัน นำคณะผู้แทนคือ Marie-Agnes Strack-Zimmermann ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะกรรมการกลาโหมของรัฐสภาเยอรมัน
สมาชิกสภานิติบัญญัติของเยอรมนีไปหารือกับประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวัน ตลอดจนหัวหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติของไต้หวัน และสภากิจการแผ่นดินใหญ่ การพูดคุยเน้นเรื่องการต่อต้านอิทธิพลจีนนั่นเอง การมาครั้งนี้นก็เป็นการตอบสนองต่อวาระวอชิงตันอย่างชัดเจน
ล่าสุดกองทัพเรือ PLA จัดการฝึกซ้อมเรือสะเทินน้ำสะเทินบกลำแรกในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ทำไต้หวันและบรรดาลูกพี่เต้นอีก
China Central Television (CCTV ) รายงานว่า เรือไห่หนานซึ่งเป็นเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกแบบ Type 075 ลำแรกของกองทัพเรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) เพิ่งเข้าร่วมกองเรือและทำการฝึกซ้อมทางทะเลไกลในแปซิฟิกตะวันตก นับเป็นครั้งแรกที่จีนจัดการเดินทางสำรวจด้วยเรือรบ ประเภทนี้
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมรบในระดับสูงของเรือ และความสามารถในการยกพลขึ้นบกของกองทัพเรือ PLA ในการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม เช่นเดียวกับภารกิจที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม เช่น การต่อต้านการก่อการร้ายและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม นักวิเคราะห์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี
กองเรือฝึกร่วมทะเลไกลภายใต้ PLA Southern Theatre Command Navy เพิ่งกลับมาที่ฐานหลังจากประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจฝึกรบในทะเลจีนใต้และแปซิฟิกตะวันตกในช่วง ๓๐ วันและในระยะทางกว่า ๙,๐๐๐ ไมล์ทะเล