หลังโลกมุสลิมเริ่มหันหน้ามาคุยกันมีแนวโน้มร่วมมือกันมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะอิหร่านที่เดินหน้ามุ่งตะวันออกเมินตะวันตกที่ถือหางอิสราเอลทุกเรื่อง และประกาศจุดยืนชัดเจนมาตลอดว่ายืนข้างรัสเซีย สถานการณ์เช่นนี้กลุ่มแองโกลแซกซอนที่นำโดยสหรัฐฯไม่ปลื้ม เร่งขยายสงครามลูกผสม ทำโฆษณาชวนเชื่อให้โลกเกลียดกลัวอิหร่านเหมือนกับที่ รณรงค์ให้ยุโรปและเอเชียเกลียดกลัวรัสเซีย ให้หวาดระแวงจีน
ล่าสุดจะว่าเป็นการขู่หรือท้าทายก็ไม่อาจรู้ได้ แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯได้เปิดเผยแผนการทำสงครามกับอิหร่านซึ่งซุ่มเตรียมมาตั้งแต่ปี ๒๐๑๘ แน่นอนในแผนนั้นมีการสนับสนุนอิสราเอลอย่างกว้างขวาง
วันที่ ๓ มี.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกรายงานว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้พัฒนา ‘แผนฉุกเฉิน’ สำหรับการทำสงครามกับอิหร่าน ตามรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
การระดมทุนสำหรับแผนการที่มีชื่อรหัสว่า “ซัพพอร์ต เซ็นทรี(Support Sentry)” เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี ๒๐๑๘ ตามรายงานของหน่วยงานในอเมริกาซึ่งระบุว่าได้รับคู่มืองบประมาณของเพนตากอนที่แยกประเภท ซึ่งแสดงรายการโครงการฉุกเฉินและโครงการพิเศษ
อ้างอิงจากบทความ ฝ่ายสนับสนุนได้รับการพัฒนาในรูปแบบที่เรียกว่า “คอนแพลน(CONPLAN)” หรือแผนแนวคิด ซึ่งมีขึ้นเพื่อปลดปล่อยชาวอิหร่านในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ
CONPLAN เป็นแผนฉุกเฉินที่มีรายละเอียดมากที่สุดเป็นอันดับสองสำหรับความขัดแย้งทางอาวุธที่กองทัพสหรัฐฯ สร้างขึ้น และถือเป็น ‘ฉบับย่อ’ ของแผนสงครามที่มีรายละเอียดมากที่สุดที่เรียกว่าโอแพลน (OPLAN) หรือแผนปฏิบัติการ
คู่มือการวางแผนปฏิบัติการร่วมของกองทัพอธิบายว่า OPLAN ระบุ “กองกำลังเฉพาะ การสนับสนุนตามหน้าที่ และทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินการตามแผนและจัดทำประมาณการปิดสำหรับการไหลเข้าสู่หน่วย CONPLAN ไม่จำเป็นต้องละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็ยังให้โครงร่างกว้างๆ ของแผนรับมือทางทหารต่อวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าสิ่งพิมพ์ดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงเนื้อหาเฉพาะของแผนฉุกเฉิน แต่การเปิดเผยว่าสหรัฐฯ กำลังวางแผนทำสงครามกับอิหร่านเป็นเพียงการเปิดเผยล่าสุดที่น่าเป็นห่วงโดยรัฐบาลของ ปธน.โจ ไบเดน ซึ่งดูเหมือนจะมีความตั้งใจมากขึ้นในการร่วมมือกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีท่าทีที่แข็งกร้าวฃต่อสาธารณรัฐอิสลามมาโดยตลอด และยังมีคดีสั่งสังหารนายพลกาเซ็ม ซูไลมานีที่อิหร่านประกาศจะไล่ล่าไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีวิดีโอปรากฏขึ้นโดยแสดงให้เห็นไบเดนบอกกับผู้ประท้วงต่อต้านอิหร่านว่าข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้น “ยุติลงแล้ว” แต่รัฐบาลสหรัฐฯ “จะไม่ประกาศเรื่องนี้”ต่อสาธารณะ
หนึ่งเดือนต่อมา กองทัพอเมริกันสรุปสิ่งที่กระทรวงกลาโหมยกย่องว่าเป็น “การซ้อมรบระหว่างสหรัฐฯ-อิสราเอลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” การซ้อมรบที่เรียกว่า ‘จูนิเปอร์โอ๊ก 23.2’ ได้เห็นสมาชิกกองทัพสหรัฐฯ ฝึกฝนกลุ่มติดอาวุธอิสราเอลเกี่ยวกับเทคนิคที่ถูกระงับไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องใช้ในการบุกอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ เกมสงครามยังเห็นเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ใช้ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เรียกว่า ‘บังเกอร์บัสเตอร์’ ลงบนเป้าหมายที่คล้ายกับโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
สหรัฐฯ ปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งภัยคุกคามไปยังเตหะราน และแสร้งทำเป็นว่าสนับสนุนการปลดนิวเคลียร์อิหร่านแต่ถ่วงและขัดขวางไม่ให้มีการเจรจามาโดยตลอดตามที่อิสราเอลเรียกร้องไม่ให้ทำ แต่สื่อของอิสราเอลเกือบทั่วโลกต่างเข้าใจตรงกันว่าการซ้อมรบทางทหารครั้งใหญ่เป็น “การส่งสัญญาณถึงอิหร่าน” อย่างชัดเจน
ในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ทอม นิเดส(Tom Nides) ได้ประกาศจุดยืนของรัฐบาลว่า “อิสราเอลสามารถและควรทำทุกวิถีทางที่พวกเขาจำเป็นต้องทำกับอิหร่าน – “และเราพร้อมสนับสนุนพวกเขา”
ดังที่ Trita Parsi ประธานสถาบันควินซี (Quincy) กูรูด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองของสหรัฐ ได้อธิบายเมื่อเร็วๆ นี้ว่า“สหรัฐฯ ต้องการส่งสัญญาณไปยังอิหร่านอย่างมากว่า แม้ว่าวอชิงตันจะไม่กระหายที่จะทำสงคราม แต่เราก็เต็มใจที่จะสนับสนุนอิสราเอล ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น”
ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาสื่อ อิสราเอล อ้างว่าเกมสงครามร่วมขนาดใหญ่ระหว่างสหรัฐและอิสราเอลจะรวมถึงการจำลองการทิ้งระเบิดของไซต์นิวเคลียร์ของอิหร่าน
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เลียนแบบอิหร่านในทะเลทรายเนเกฟจะถูกระเบิด ๑๐๐ ตัน แม้ว่าการจำลองจะล้มเหลวในการอ้างถึงแหล่งที่มาของการเคลื่อนไหว แต่ถ้อยแถลง จากเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของสหรัฐฯ ดูเหมือนจะยืนยันความเชื่อมั่นว่าจะทำให้สำเร็จเมื่อรบกันจริง
พล.อ.ไมเคิล เอริค คูริลลา (Michael “Erik” Kurilla) ผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางสหรัฐฯ (CENTCOM) กล่าวกับ NBC News ว่า “จะไม่แปลกใจเลยหากอิหร่านเห็นขนาดและธรรมชาติของกิจกรรมเหล่านี้ และเข้าใจว่าเราสองประเทศสามารถทำอะไรกับพวกเขาได้บ้าง ” คูริลลาให้สัมภาษณ์อย่างปลาบปลื้มว่าเป็น “การฝึกซ้อมที่สำคัญที่สุดระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิสราเอลจนถึงปัจจุบัน”
เปิดเผยกันอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่า อิหร่านคืออีกจุดวาบไฟที่สหรัฐฯพุ่งเป้าก่อสงครามทำลายล้างภายใต้การร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นกับอิสราเอล ที่วันนี้ปราบปรามทำลายชีวิตและบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์อย่างเหี้ยมเกรียม!!