ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่คำปราศรัยและการสัมภาษณ์ของปธน.ปูตินแห่งรัสเซียอย่างกว้างขวาง ล่าสุดระบุให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ Rossiya1 เมื่อวันที่ ๒๒ ก.พ.ที่ผ่านมาซี่งเป็นวันพิทักษ์มาตุภูมิของรัสเซีย แต่ได้รับการเผยแพร่เมื่อ ๒๖ ก.พ.ว่า รัสเซียกำลังเผชิญหน้ากับชาติตะวันตกในการสู้รบกับยูเครน ซึ่งถือเป็นการสู้รบเพื่อความอยู่รอดของประเทศและประชาชาติรัสเซีย เนื่องจากชาติตะวันตกมีเป้าหมายต้องการทำลายและแบ่งแยกรัสเซียออกเป็นหลายส่วนเพื่อเข้าควบคุมแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงการทำลายล้างคนเชื้อสายรัสเซีย การที่สหรัฐฯและนาโต้ให้หนุนหลังยูเครนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หมายถึงการที่รัสเซียกำลังเผชิญหน้ากับเมกาและนาโต้โดยตรง และการที่เนโตเป็นกองกำลังที่มีอาวุธนิวเคลียร์ รัสเซียจึงต้องสงวนและระงับการควบคุมนิวเคลียร์ เพื่อยืนหยัดปกป้องตัวเอง
วันนี้ อดีตรองประธานาธิบดีรัสเซียได้ออกมาเปิดเผยถึงความคลั่งไคล้ของตะวันตกในการฉีกรัสเซียเป็นชิ้นๆ เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การปฏิบัติการทางทหารอย่างเป็นทางการกับตะวันตก เขาเรียกยูเครนว่า “แฟรงเกนสไตน์ใหม่” ซึ่งสร้างโดยประเทศตะวันตก
วันที่ ๒๗ ก.พ.๒๕๖๖ สำนักข่าวทาซซ์รายงานว่า ดมิทรี เมดเวเดฟ (Dmitry Medvedev) อดีตปธน.และรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงรัสเซียให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อิสเวสติยา(Izvestiya)ว่า “อคติต่อต้านรัสเซียของมนุษย์ยุคหินและความปรารถนาที่จะแยกรัสเซียออกจากกันทำให้เกิดความจำเป็นในการดำเนินการปฏิบัติการพิเศษทางทหาร”
อดีตปธน.กล่าวโดยพูดถึงการไม่ยอมรับผลการลงประชามติในไครเมีย โดยกลุ่มตะวันตกว่า “อาการชักของพวกเขาถูกหล่อเลี้ยงโดยอคติต่อต้านรัสเซียยุคหิน และความปรารถนาที่จะสร้างแฟรงเกนสไตน์ที่ปรากฏใหม่เป็นตัวแทนคือยูเครน ซึ่งเป็น ‘การต่อต้านรัสเซีย’ แบบพิเศษมีอะไรอีกที่สามารถพูดได้ในเรื่องนี้”
เมดเวเดฟกล่าวย้ำว่า “บรรพบุรุษของรัฐตะวันตกที่โง่เขลาเมื่อเร็ว ๆ นี้พูดว่า “ผู้ที่พระเจ้าจะทำลายพวกเขาทำให้พวกเขาคลั่งไคล้ก่อน สิ่งนี้ทำให้เกิดอาการตีโพยตีพายและ ความหลงใหลในการฉีกประเทศของเราออกจากกัน ในที่สุดก็นำไปสู่ปฏิบัติการทางทหารพิเศษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เขาชี้ว่า “กลุ่มตะวันตกยังคงรักษาภาพลวงตาที่ว่า เมื่อทำลายสหภาพโซเวียตโดยไม่ต้องยิงปืนเองแล้ว พวกเขาจะสามารถฝังรัสเซียในปัจจุบันได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับตนเอง แต่สิ่งเหล่านี้ เป็นอาการหลงผิดที่เป็นอันตราย”
เขาฟันธงว่า “ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า “จักรวรรดิใด ๆ ก่อนที่จะล่มสลายจะฝังครึ่งหนึ่งของโลกไว้ใต้ซากปรักหักพัง หรือมากกว่านั้น”
เมดเวเดฟเตือนแรงว่า “หากคำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของรัสเซียเองถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างจริงจัง มันจะไม่ถูกตัดสินในแนวรบของยูเครน แต่จะรวมถึงคำถามของการดำรงอยู่ต่อไปของอารยธรรมมนุษย์ทั้งหมด และไม่ควรมีความคลุมเครือที่นี่ เราไม่ต้องการโลกที่ปราศจากรัสเซีย” “ประเทศตะวันตกที่มีดาวเทียมของพวกเขาเป็นเพียง ๑๕% ของประชากรโลก มีพวกเราอีกมากมายและเราแข็งแกร่งกว่ามาก พลังอันสงบของประเทศที่ยิ่งใหญ่ของเรา และอำนาจของพันธมิตรเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาอนาคต สำหรับโลกทั้งใบของมนุษยชาติ”
ด้านสนามสู้รบยังคงดุเดือดไม่ยั้งเมื่อสุดสัปดาห์ในรอบ ๒๔ ชั่วโมงบุกถล่มกองทหารยูเครนในพื้่นทีสำคัยดับกว่า ๓๐๐ นาย
พลโดอิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกลาโหมรัสเซียรายงานเมื่องวันอาทิตย์ที่ผ่านมาสว่า “กองทัพรัสเซียโจมตีหน่วยปืนใหญ่ของยูเครน ๑๐๓ หน่วยในพื้นที่ ๑๖๗ แห่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการในช่วง ๒๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา”
“ในพื้นที่โดเนตสค์(DPR) กองกำลับรัสเซียดับกองทหารยูเครนกว่า ๑๐๐ นาย รถหุ้มเกราะสามคัน รถกระบะสี่คัน ปืนใหญ่อัตตาจรวอสดิกา (Gvozdika) หนึ่งกระบอก และปืนครก D-30 หนึ่งกระบอกถูกทำลายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอันเป็นผลมาจากการปฏิบัติการโดยหน่วยของ กลุ่มการรบทางใต้ การโจมตีทางอากาศ และการยิงปืนใหญ่”
ในพื้นที่ครัสนีลิมัน (Krasny Liman) ปฏิบัติการเชิงรุกโดยหน่วยจากศูนย์กลุ่มการสู้รบ การโจมตีทางอากาศ ปืนใหญ่ และเครื่องพ่นไฟขนาดใหญ่สร้างความเสียหายให้กับกองกำลังของศัตรู” เขากล่าวเสริมว่า “ทหารยูเครนมากถึง ๑๓๐ นาย ยานเกราะต่อสู้สามคัน สองคัน รถยนต์ แท่นปืนใหญ่อัตตาจรอคัตสิยา (Akatsiya) หนึ่งคัน และปืนครก D-20 หนึ่งลำถูกทำลาย”
ในพื้นที่เคอร์ซอน ดับกองทหารยูเครนมากถึง ๗๐ นาย รถยนต์หกคัน และปืนครก D-30 สามกระบอกถูกทำลาย”
โคนาเชนคอฟกล่าวสรุปนับตั้งแต่เปิดปฏิบ้ติการพิเศษทางทหาร กองทัพรัสเซียได้ทำลายเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ของยูเครนไปแล้วกว่า ๖๐๐ ลำ
“โดยรวมคือ ได้ทำลายเครื่องบินรบยูเครน ๓๙๐ ลำ เฮลิคอปเตอร์ ๒๑๑ ลำ ยานพาหนะไร้คนขับ ๓,๒๔๓คัน ระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ ๔๐๕ คัน รถถัง ๘,๐๔๒ คันและยานเกราะต่อสู้อื่นๆ เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง ๑,๐๔๕ คัน ปืนใหญ่สนาม ๔,๒๒๒ กระบอก และ ปืนครกและยานยนต์พิเศษทางทหาร ๘,๕๕๖คัน นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการทางทหารพิเศษในยูเครน”