หลายวันมานี้กองทัพรัสเซียออกมาเตือนว่า หลังไบเดนมาเยือนเคียฟและให้คำหวานจะหนุนยูเครนจนกว่าจะชนะ ในขณะที่ปธน.มอลโดวาก็ดอดมาพบไบเดนด้วย จากนั้นมีการขยับเตรียมที่จะรุกรานเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน
เคียฟกำลังรวบรวมกองกำลังใกล้ชายแดนของยูเครนติดกับภูมิภาคทรานส์นิสเตรียที่แตกแยกของมอลโดวา และมีกองกำลังรักษาสันติภาพของรัสเซียประจำการอยู่
กองทัพรายงานว่า“การเสริมกำลังบุคลากรทางทหารและอุปกรณ์ของยูเครนจำนวนมากใกล้กับชายแดนยูเครน-ทรานส์นิสเตรีย”มีการตั้งตำแหน่งปืนใหญ่และ การบินโดรนที่เพิ่มขึ้น อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในภูมิภาคนี้ กระทรวงกลาโหมลั่น“กองทัพรัสเซียจะตอบโต้ต่อการยั่วยุของฝ่ายยูเครนในทันที่”
ดินแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำดนีสเตอร์ (Dniester) แยกออกจากมอลโดวาและประกาศตัวเป็นสาธารณรัฐอิสระในช่วงต้นทศวรรษ ๑๙๙๐ ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษารัสเซียไม่ต้องการเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศ และได้กลายเป็นเอกราชในช่วงที่สหภาพโซเวียตแตกสลาย
ทหารรัสเซียราว๑,๑๐๐ นายประจำการในทรานส์นิสเตรียในฐานะผู้รักษาสันติภาพ เฝ้าติดตามการหยุดยิงระหว่างมอลโดวากับกองกำลังท้องถิ่นในปี ๑๙๙๒ มีการประมาณว่าครึ่งหนึ่งของประชากร ๕๐๐,๐๐๐ คนในทรานส์นิสเตรีย มีสัญชาติรัสเซีย
วันที่ ๒๖ ก.พ.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า รัสเซียเตือนสหรัฐฯ นาโต้ และยูเครนเรื่องทรานส์นิสเตรีย โดยมอสโกให้คำมั่นว่าจะตอบสนองต่อ “การยั่วยุ” ใด ๆ ของเคียฟต่อเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของรัสเซียในภูมิภาคที่แตกแยกของมอลโดวา
ในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี กองทัพของรัสเซียกเปิดเผยว่า “การโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากยูเครน“จะดำเนินการเพื่อรุกรานรัสเซียจากดินแดนทรานส์นิสเตรีย”
วาเลอริว มิจา(Valeriu Mija) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของมอลโดวา ทำตีมึนปฏิเสธคำกล่าวอ้างของรัสเซียว่าเป็น“ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทางจิตวิทยา” เขาเสริมว่าเจ้าหน้าที่กำลังติดตามสถานการณ์ในพื้นที่
ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างมอสโกว์และคีชีเนา ปธน.ไมอา ซานดู ของมอลโดวาซึ่งคุมอำนาจจากการสนับสนุนของสหรัฐฯและตะวันตก กล่าวหารัสเซียเมื่อต้นเดือนนี้ว่าวางแผนโค่นล้มรัฐบาลในประเทศของเธอ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีโดริน เรเชียน ซึ่งเพิ่งเข้ารับหน้าที่รับลูกแผนใหญ่ของเจ้านายว่าเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของรัสเซียควรออกจากทรานส์นิสเตรีย
มอสโกว์ปฏิเสธข้อกล่าวหาวางแผนก่อรัฐประหารในมอลโดวา และกล่าวว่าไม่ได้พยายามแทรกแซงกิจการภายในของประเทศมาโดยตลอด ในขณะที่คลังสินค้าทางทหารที่มีทหารรัสเซียคอยคุ้มกันอยู่ติดกับหมู่บ้านจากทางใต้ของยูเครน จากข้อมูลบางส่วน เรากำลังพูดถึงฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในยุโรปตะวันออกซึ่งมีกระสุนหลากหลายประเภท ซึ่งขณะนี้มีมวลรวมประมาณ ๒๒,๐๐๐ ตัน และนี่คือจุดมุ่งหมายของยูเครนคือจะปล้นเอาเพราะฝ่ายตัวเองขาดแคลนหนัก
ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เซอร์เก ลาฟรอฟ นักการทูตรัสเซียอ้างข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมของประเทศ ซึ่งระบุว่ายูเครนได้รวบรวมบุคลากรทางทหารจำนวนมาก ตลอดจนยุทโธปกรณ์และปืนใหญ่ที่ชายแดนติดกับทรานส์นิสเตรีย ด้วยเหตุนี้ มอสโกว์จึงเตือน“สหรัฐฯ ชาติสมาชิกนาโต้ และลูกน้องยูเครนของพวกเขา ให้ระวังการกระทำที่เสี่ยงภัยใดๆ ต่อไป”
แถลงการณ์ระบุว่า “ในขณะที่รัสเซียสนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาแบบ“การเมืองและการทูต” “ไม่มีใครควรสงสัยเลยว่ากองทัพรัสเซียจะตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อการยั่วยุใด ๆ จากระบอบการปกครองของเคียฟ”
มอสโกว์ย้ำว่ามุ่งมั่นที่จะปกป้องพลเมือง เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ และเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการในภูมิภาคที่แตกแยกของมอลโดวา ดังนั้น การกระทำใดๆ ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงจะถูกมองว่าเป็นการโจมตีสหพันธรัฐรัสเซียตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วที่ทรานส์นิสเตรียเป็น “หลุมดำ” ในยุโรป และเป็นเวลา 30 ปีที่เศรษฐกิจของทรานส์นิสเตรียขึ้นอยู่กับการขนส่งสินค้าเข้าและออกจากโอเดสซาและท่าเรืออื่นๆ ในทะเลดำ สามารถเดินทางมาได้ถึงวันนี้เพราะเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐกับบริวารตะวันตกยังดีอยู่ รัสเซียขายสินค้าพลังงานให้ยุโรปในราคามิตรภาพทำให้ชาติในยุโรปสามารถผงาดเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมได้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อนาโต้พลาดท่าและส่อเค้าแพ้พ่ายการศึกในยูเครน เมกาจึงสั่งให้มอลโดวาที่มีผู้นำที่สนับสนุนโดยเมกาฯเปิดศึกพร่ากำลังรัสเซีย จับตาโอเดสซาจะไม่รอดเพราะอยู่ตรงกลางระหว่างดินแดนไครเมียที่วันนี้รัสเซียถือว่าคือแผ่นดินของรัสเซีย และดินแดนของทรานซ์นิสเตรียที่มีคนรัสเซียและทหารรัสเซียอยู่ไม่น้อย รอดูใครจะกดปุ่มก่อนกันท่ามกลางการยั่วยุเต็มพิกัดจากฝั่งยูเครน-นาโต้ เลี่ยงไม่ได้รัสเซียก็ต้องลุย!!
