ถึงคราวเล่นบท WoveWarior อีกครั้ง กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้เผยแพร่บทความเรื่อง ‘ US Hegemony and Its Perils ‘ หมายถึง “ความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐและพิษภัยของมัน” ซึ่งเป็นการโจมตีที่ดุดันต่อสหรัฐอเมริกาและความพยายามที่จะครองโลกของสหรัฐฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางในสื่อต่างๆ ของทางการจีน และอาจเป็นเรื่องที่รุนแรงที่สุดที่พวกเขาเคยเผยแพร่ อย่างน้อยก็เท่าที่วอชิงตันกังวล มันสอดคล้องกับ คำปราศรัยล่าสุดของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ได้เปิดโปงสหรัฐฯ ในหัวข้อต่างๆ มากมาย โดยเน้นย้ำถึงความพยายามหลายด้านของวอชิงตันในการบรรลุและรักษาอำนาจเหนือโลกแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งรวมถึงการปฏิบัติการทางทหาร เช่น อิรักและอัฟกานิสถาน ตลอดจนการแทรกแซงทางการเมืองภายในของประเทศต่างๆ ในรูปแบบของการรัฐประหารและการปฏิวัติ
วันที่ ๒๕ ก.พ.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า หวัง เหวินบิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน โพสต์ลงเฟซบุ๊กของเขารัวๆ กระชากหน้ากากสหรัฐฯอย่างเจ็บแสบ พร้อมข้อมูลในรูปกราฟฟิกอย่างน่าสนใจ
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า พวกเขากำลังพิจารณาปล่อยข่าวกรองที่แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังชั่งใจว่าจะจัดหาอาวุธให้รัสเซียหรือไม่ เราเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดสาดโคลนใส่จีน และปล่อยข่าวกรองที่บอกความจริงเกี่ยวกับการระเบิดของ Nord Stream ในทันที
เพียงเพื่อย้ำเตือนว่าสหรัฐฯ “ปฏิบัติตาม” กฎระหว่างประเทศอย่างไร ด้วยการโยนทิ้งและเลิกใช้กฎเหล่านี้แต่ฝ่ายเดียวมาโดยตลอด และย้ำว่าตราบใดที่ความเป็นเจ้าโลกและการสู้รบของสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ ส่วนอื่นๆ ของโลกแทบจะไม่ได้รับความสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น
หวังยังบอกอีกว่า “สหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งอันดับ 1 ของการเป็นปรปักษ์กันและการเผชิญหน้าแบบกลุ่ม สงครามของนาโต้ที่นำโดยสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน อิรัก และซีเรีย ทำให้พื้นที่ยูเรเซียมีความมั่นคงน้อยลงมาก การจัดกลุ่มใหม่ที่ริเริ่มโดยสหรัฐฯ เช่น Quad & AUKUS ทำให้ผู้คนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคงของเอเชียแปซิฟิก”
แต่สหรัฐฯไม่เคยสนใจใยดีว่าการกระทำของตนจะก่อความเดือนร้อนแก่ประเทศอื่นอย่างไรยังคงเดินหน้าปลุกปั่นกระตุ้นความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียว
หลายทศวรรษที่ผ่านมาหวังระบุว่า “สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ละเมิดอำนาจอธิปไตยและแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นเป็นอันดับ 1 นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่๒ มีรายงานว่าสหรัฐฯ พยายามล้มล้างรัฐบาลต่างชาติกว่า ๕๐ แห่ง แทรกแซงการเลือกตั้งในกว่า ๓๐ ประเทศ และพยายามลอบสังหารผู้นำต่างประเทศกว่า ๕๐ คน
และสหรัฐอเมริกาก็คือคือผู้สร้างสงครามอันดับ ๑ ของโลก ไม่ได้ทำสงครามเพียง ๑๖ ปีตลอด ๒๔๐ ปีที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศ
ย้อนกลับมาดูเอกสารเปิดโปงสหรัฐฯ ไม่เคยมีครั้งใดที่กระทรวงต่างประเทศของจีนเปิดตัวโจมตีสหรัฐฯอย่างเปิดเผย เป็นเวลาหลายปีที่แม้วอชิงตันจะเปลี่ยนเป็นศัตรูกับปักกิ่ง แต่จีนกลับยับยั้งชั่งใจอย่างท่วมท้นเมื่อพูดถึงสหรัฐฯ เป็นเวลานานแล้วที่อเมริกายึดมั่นในความเชื่อที่ว่าอเมริกาสามารถมีส่วนร่วมกับประเทศได้ ไม่ว่าทางใดก็ทางใดทางหนึ่งสามารถนำไปสู่เหตุผลได้ และความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯกับจีนสามารถปรับปรุงและมีเสถียรภาพได้ตามแต่สหรัฐฯต้องการ ครั้งหนึ่งเคยมีความเชื่อว่าหลังจากการจากไปของคณะบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งต่างๆ จะกลับคืนสู่”ปกติ”ภายใต้การนำของโจ ไบเดน
แต่ความเชื่อนั้นไม่ถูกต้อง หลังจากดำรงตำแหน่งได้ ๒ ปี คณะบริหารของ Biden ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นปรปักษ์และฝักใฝ่ต้านจีนหนักกว่าที่ทรัมป์และเพื่อนร่วมงานของเขาเคยเป็นมา และความสัมพันธ์ได้เปลี่ยนจากจุดต่ำสุดใหม่ไปสู่อีกจุดหนึ่ง โดยปธน.ไบเดน ได้เปลี่ยนนโยบายของสหรัฐฯ จาก ซีรีส์เรื่อง “ America First” Trumpian ที่คับข้องใจเรื่องการค้า ไปจนถึงการปราบปรามทางทหารและยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมซึ่งได้เพิ่มความตึงเครียดอย่างมาก ทรัมป์เป็นนักเจรจาที่ต้องการทำข้อตกลงการค้ากับจีน เพื่อให้เหมาะกับผลประโยชน์ของชาวอเมริกันโดยใช้อัตราภาษีเป็นเลเวอเรจ แต่คำว่า“ประนีประนอม”ไม่มีอยู่ในคำศัพท์ของไบเดน
ฝ่ายบริหารของ Biden อ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต้องการ“แนวป้องกัน”และ“ช่องทางสื่อสาร”กับปักกิ่ง แต่การกระทำดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงความไม่ตั้งใจจริง พูดอย่างทำอย่าง ตีสองหน้า ตั้งแต่การอนุญาตให้ Nancy Pelosi เยือนไต้หวันอย่างยั่วยุ สร้างความหวาดระแวงเหนือบอลลูน ไปจนถึงบังคับให้ประเทศต่างๆ ตัดการส่งเสบียงให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนทั้งหมด ข้อสรุปที่ว่าปักกิ่งมาถึงที่สุดแล้วก็คือ เมื่อพูดถึงสหรัฐฯ จะไม่มีการเจรจาอย่างจริงจัง มันเสียเวลาเปล่าประโยชน์ จีนเผชิญหน้ากับผู้ก่อสงคราม ที่มีอำนาจเหนือโลก และไร้ศรัทธา ซึ่งพยายามสกัดกั้นและทำลายล้างจีนอย่างมีกลยุทธ์ในทุกวิถีทาง
ตอนนี้จีนตระหนักดีว่าทางออกที่ดีที่สุดไม่ใช่การทำให้วอชิงตันสงบ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความเจริญรุ่งเรืองขึ้นอยู่กับการค้ำจุนโลกหลายขั้วที่อำนาจของอเมริกาจะต้องถูกลดทอนลง จีนระบุอย่างเป็นทางการว่าความเป็นเจ้าโลกของอเมริกาคือต้นตอของความไร้เสถียรภาพ ความโกลาหล ความไม่เท่าเทียม และความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นหนึ่งเดียวกับความคิดเห็นของวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย สหรัฐฯไม่มีความสนใจที่จะยอมรับหรือตกลงกับการผงาดขึ้นมาของประเทศอื่นใด ที่ท้าทายการผูกขาดอำนาจโลกของตน โดยเชื่อว่าความเป็นเจ้าโลกเป็นสิทธิ์อันสูงส่ง และเหลือความหวังเพียงน้อยนิดสำหรับ “เสถียรภาพ” ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อพยายามควบคุมจีนและทำลายการรวมเข้ากับเศรษฐกิจโลก แม้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าปักกิ่งจะทำบางสิ่งที่บ้าบิ่นหรือเสี่ยง แต่หมายความว่าในที่สุดปักกิ่งก็ตื่นขึ้นพร้อมกับความท้าทายที่ต้องเผชิญ และหลังจากหลายทศวรรษของความสัมพันธ์อันดี กับระบอบการปกครองของอเมริกา
มาถึงวันนี้ “ฟางเส้นสุดท้าย” ของความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯได้ทำให้ลาหลังหักแล้วนั่นเอง???