จากที่ วันนี้ 22 กุมภาพันธ์ 2566 Blockdit World Update ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ไว้อย่างน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งโดยระบุถึงรัสเซีย และสหรัฐ ที่เคยลงนาม สนธิสัญญา START ในการไม่แพร่กระจายและเป็นกฎการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์
ทั้งนี้ข้อมูลที่ Blockdit World Update นำมาโพสต์เผยแพร่ล่าสุดเปิดเผยไว้อย่างมีนัยยะสำคัญว่า “ปี 2011 ทั้งสองฝ่ายลงนามฉบับ START-3 โดยอดีตประธานาธิบดีโอบามา ผู้นำสหรัฐ และอดีตประธานาธิบดีเมดเวเดฟ บทบัญญัติพื้นฐานคือ การลดลงของคลังแสงนิวเคลียร์ และการควบคุมร่วมกันทำให้สามารถตรวจสอบการติดตั้งนิวเคลียร์ของแต่ละฝ่ายได้
ล่าสุดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และคณะรัฐบาลรัสเซีย มีความเห็นว่าทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว เพราะสหรัฐ กำลังนำกลุ่ม NATO ทำสงครามกับรัสเซียมาแล้ว 1 ปี จึงถือว่าเป็นศัตรูต่อกันอย่างเปิดเผย
สนธิสัญญา START จึงไม่เหมาะสม อย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้นำรัสเซีย จึงประกาศ ยกเลิกข้อตกลงไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ ดังกล่าว โดยมีผลนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สหรัฐได้ติดตั้งคลังแสงนิวเคลียร์ในยุโรป ที่สหราชอาณาจักร , ฝรั่งเศส , เยอรมนี , เบลเยียม , อิตาลี ที่มุ่งต่อต้านรัสเซีย และมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามของยูเครน ที่จะโจมตีฐานปฏิบัติการทางอากาศเชิงกลยุทธ์ของรัสเซีย
เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้นำรัสเซียได้ลงนามในพระราชกฤษฎีกา นำพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ใหม่เข้าสู่การทำสงครามสู้รบ มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม และ Rosatom รัฐวิสาหกิจนิวเคลียร์เตรียมพร้อมที่จะทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ หากสหรัฐฯ ทำการทดสอบในลักษณะเดียวกัน
นับแต่นี้ไปจะไม่มีความเสมอภาคในด้านนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิง ใครผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้มากกว่าก็ผลิตไป สามารถทำการทดสอบนิวเคลียร์โดยไม่ต้องแจ้งอีกฝ่ายทราบ และสามารถขยายความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ เช่น อิหร่าน เกาหลีใต้ คิวบา ชาติในละตินอเมริกา จีน ซึ่งประกาศเป้าหมายเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์จากเดิม 350 ลูก เป็น 900 ลูกเช่นกัน
เมื่อสนธิสัญญา START ด้านนิวเคลียร์ถูกระงับ จะทำให้รัสเซียได้เปรียบในการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์เพราะมีศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตเหนือกว่าฝ่ายสหรัฐ และยุโรป หากความตึงเครียดต่อกันเพิ่มขึ้น กองกำลังนิวเคลียร์ของสหพันธรัฐรัสเซียสามารถนำคำสั่งไปใช้ในการปฏิบัติได้รวดเร็วคล่องตัวกว่า ประมาณว่ายิงออกไปก่อนแล้วค่อยเจรจาทีหลัง
นาย Jens Stoltenberg เลขาธิการ NATO ชาวนอร์เวย์ที่เกี่ยวพันการระเบิดท่อก๊าซ Nord Stream ให้นอร์เวย์ และสหรัฐ ได้ประโยชน์จากการขายก๊าซราคาแพงกว่ารัสเซีย 4 – 5 เท่าให้ยุโรป
เขาอ้างว่า เสียใจกับการตัดสินใจของรัสเซียที่ระงับการเข้าร่วมสนธิสัญญา START และขอให้รัสเซียพิจารณาทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง เนื่องจากเป็นการทำลายกลไกการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ และคุยโวว่าหากชาติใดในกลุ่ม NATO ถูกโจมตี ก็จะเท่ากับการโจมตีพันธมิตรทั้งหมดด้วย ดังนั้น NATO มีความจำเป็นต้องเร่งการผลิตอาวุธ กระสุนที่จำเป็นเติมสต็อคของตนเอง และทำสงครามกับรัสเซียในสมรภูมิยูเครน
วิเคราะห์ว่า..ปัจจุบัน NATO และพันธมิตร 40 ชาติก็ทำสงครามเป็นศัตรูโจมตีอาวุธใส่พลเมืองรัสเซียอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว อย่างต่อเนื่องมา 1 ปี โดยที่รัสเซีย ยังไม่ได้รุกรานประเทศเหล่านั้น
การที่รัสเซียยกเลิกข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ จะเป็นการยกระดับสงครามต่อ NATO ขึ้นไปจากเดิมอีกขั้น และรัสเซียสามารถช่วยอย่างเปิดเผยพันธมิตรที่ถูกสหรัฐ และพวกรังแกยั่วยุ เช่น อิหร่าน เกาหลีเหนือ จีน ฯลฯ เพิ่มหรือขยายหัวรบนิวเคลียร์ได้อย่างรวดเร็ว
จะช้าหรือเร็ว ชอบหรือไม่ชอบ ตราบเท่าที่ NATO ยังไม่หยุดส่งอาวุธไปยูเครนและนั่งลงเจรจากัน มหาสงครามครั้งใหม่ก็ต้องจบลงด้วยการปลูกเห็ดยักษ์แน่นอน”