จากที่สื่อต่างประเทศรายงานถึง ประธานาธิบดี อิบราฮิม ไรซี แห่งอิหร่าน ได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ระหว่างการเยือนจีนนาน 3 วัน เพื่อยกระดับความร่วมมือที่มีต่อกันมานาน 25 ปีนั้น
ทั้งนี้รายงานยังระบุว่าผู้นำทั้งสองชาติ ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ 25 ปี และความร่วมมือด้านอื่น ๆ อีกมากมาย การหารือกันครั้งนี้ มีขึ้นในช่วงที่ทั้ง 2 ประเทศ กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากประเทศแถบตะวันตกในหลากหลายประเด็น เป็นการเยือนจีนครั้งแรกของประธานาธิบดีอิหร่าน ในรอบ 20 ปี
ล่าสุดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกมาเปิดเผยผ่านการโพสต์ข้อความลง Blockdit ถึงบรรดาพันธมิตร และชาติอื่นที่ทยอยเทดอลลารืสหรัฐว่า
“ผู้นำรัฐบาลอเมริกาเห็นภาพนี้แล้วคงเข่าอ่อน อิหร่านกับจีนเป็นพันธมิตรแนบแน่นและทำมาค้าขายโดยไม่ต้องใช้เงินดอลล่าร์กันแล้ว ขณะนี้จีนได้เทพันธบัตรอเมริกันทิ้งไปทุกๆปี
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก็เท และมีชาติอื่นๆ ร่วมเทด้วย เช่น ซาอุดิอาระเบีย สวิตเซอร์แลนด์ ที่นึกไม่ถึงว่าจะเทเหมือนชาติอื่นๆ ก็คืออังกฤษและญี่ปุ่น
เฉพาะเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จีนขายพันธบัตรดอลล่าร์ทิ้งไป ๒๔ พันล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา จากที่เคยถือครองพันธบัตรดอลล่าร์ไว้หลายล้านๆ ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา โดยเทไปกับ ๓ เรื่องใหญ่ๆ คือ ๑.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบนเส้นทางสายไหมใหม่ ๒.ซื้อสินทรัพย์เก็บไว้ ๓.ซื้อทองคำตุนไว้
ขณะนี้ จีนถือครองพันธบัตรดอลล่าร์เอาไว้แค่ ๙๐๙.๖ พันล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา จีนไม่อยากปล่อยพันธบัตรดอลล่าร์แบบกระโตกกระตากจึงค่อยๆ นำไปลงทุน
ถ้าหาจังหวะทิ้งไปเรื่อยๆ กับ ๓ เรื่องที่ว่าโดยไม่เร่งรีบอะไรเหมือนเดี๋ยวนี้ จีนจะสามารถเทพันธบัตรดอลล่าร์ได้หมดในอีก ๓ ปีข้างหน้านี้เท่านั้น
เมื่อจีน รัสเซีย อิหร่าน ฯลฯ ต่างพากันเลิกใช้เงินสกุลดอลล่าร์ ปริมาณเงินดอลล่าร์ที่ไม่ใช้ก็จะไหลกลับไปยังที่ประเทศผู้ผลิตคือสหรัฐอเมริกาตามระบบ
เมื่อไหลกลับไปมากๆ ก็จะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อหนัก หรือ hyperinflation ตามมา ถึงตอนนั้น เงินสกุลดอลล่าร์ก็จะกลายเป็นกระดาษหรือแบ็งค์กงเต๊กไป อเมริกาขณะนี้ถึงอยู่ไม่สุข ต้องหาเรื่องก่อสงครามกับจีนให้ได้เพื่อกลบเกลื่อนไงครับ”