ข่าวฮือฮาสภาทองคำโลกเปิดเผยว่า ธนาคารกลางทั่วโลกตุนทองคำทั้งเปิดเผยและไม่รายงานอื้อซ่า แค่ที่มีตัวเลขรายงานสะท้อนความต้องการโดยรวมในปี ๒๕๖๕ สูงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ แต่มีอีกถึง ๒ใน ๓ ที่ไม่เปิดเผย
ขณะที่มีกระแสข่าวมูลค่าที่แท้จริงของเงินดอลลาร์ ถ้าเทียบกับโลหะมีค่าจะเท่ากับศูนย์ จากเว็บไซต์ Debt Clock ของกระทรวงการคลังสหรัฐ ตรงดาว Remark สีแดงจะไม่แสดงมูลค่าของดอลลาร์ เมื่อเทียบกับน้ำมัน, แร่เงิน และแร่ทอง คือ ดอลลาร์ขณะนี้ไม่มีค่าจะซื้อสิ่งเหล่านี้ได้เลย มูลค่าเงินดอลลาร์ในประเทศสหรัฐ เป็นอย่างหนึ่ง แต่ดอลลาร์สำหรับนานาชาติที่ถือไว้ในนาทีนี้ก็เท่ากับศูนย์ไม่มีอะไรค้ำประกันมูลค่าไม่อาจใช้ซื้อขายได้ แท้จริงแล้วเป็นการสร้างจินตนาการให้มันมีค่าเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามมาดูหนี้สาธารณะสหรัฐฯผู้เป็นนายใหญ่แห่งดอลลาร์ ล่าสุดเกินกำหนดเพดานหนี้ไปแล้ว จาก ๓๑.๔ ล้านล้านดอลลาร์ไปเป็น ๓๑.๕๒ ล้านล้านดอลลาร์ จนกระทรวงการคลังต้องออกมาเตือน หมายความว่าสหรัฐฯมีหนี้สินล้นพ้นตัวขาดความสามารถชำระหนี้ เสี่ยงสูงผิดนัดชำระหนี้และส่อล้มละลาย ทั้งหมดนี้เกิดจากการกระทำของสหรัฐฯเอง ที่ย่ามใจว่ามีอำนาจล้นโลก ใช้กลไกดอลลาร์และการคว่ำบาตรลงโทษใครก็ตามที่ไม่ยอมสยบ นับวันแผลจะเปิอให้คนทั้งโลกได้รู้ความจริงอย่างล่อนจ้อน
วันที่ ๔ ก.พ.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า สภาทองคำโลก (WGC:the World Gold Council) กล่าวเปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า “การซื้อทองคำซึ่งลดลงในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้รับแรงผลักดันกลับกันในปี ๒๕๖๕ โดยมีความต้องการเพิ่มขึ้น ๑๘% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว”
จากข้อมูลของกลุ่ม การบริโภคในปีที่แล้วแตะ ๔,๗๔๑ เมตริกตัน ซึ่งเป็นยอดรวมประจำปีสูงสุดนับตั้งแต่ปี ๒๕๕๔
สภาทองคำโลก ยังกล่าวด้วยว่า “ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มการซื้อทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเพิ่มโลหะมีค่าดังกล่าวจำนวน ๑,๑๓๖ ตันมูลค่าประมาณ ๗๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯไปยังคลังของพวกเขา เพิ่มขึ้นจากเพียง ๔๕๐ ตันในปีที่แล้ว สิ่งนี้ทำให้การซื้อประจำปีในภาคส่วนนี้มีปริมาณสูงสุดนับตั้งแต่ปี ๒๕๑๐
คริสฮัน โกปอล(Krishan Gopaul) นักวิเคราะห์อาวุโสของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “การซื้อส่วนใหญ่ของธนาคารกลาง ได้รับแรงกระตุ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าทองคำแท่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า ในช่วงเวลาที่ปั่นป่วน ซึ่งคาดว่าจะรักษามูลค่าไว้ได้แม้มีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากสกุลเงินทั่วไปและพันธบัตรที่มีความผันผวนมากกว่า”
เขากล่าวเสริมว่า “ในการสำรวจของธนาคารกลางของเรา สิ่งที่เราได้รับแจ้งว่าเป็นเหตุผลที่ควรถือทองคำคือประสิทธิภาพในช่วงวิกฤต เป็นตัวกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา หากคุณดูปีที่แล้ว ทั้งสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค คุณจะเห็นว่าปัจจัยเหล่านั้นทั้งหมดรวมทั้งเหตุผลในการเป็นเจ้าของทองคำอาจถูกพิจารณาว่าเป็นเรื่องสมเหตุผลที่จะซื้อทองคำเพิ่ม ”
การซื้อของธนาคารกลางส่วนใหญ่มาจากตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงจีน เทอร์กีเย และอียิปต์ ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วถือครองปริมาณทองคำแท่งต่ำกว่าธนาคารตะวันตก โกปอลกล่าวอีกว่า “สำหรับธนาคารกลางตะวันตกที่ไม่ได้ซื้อ เพราะพวกเขามีทองคำอยู่แล้วจำนวนมาก ประเด็นสำคัญคือพวกเขาไม่ได้ขายมันจริง ๆ ”
สภาทองคำโลกยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าเกือบ ๒ ใน ๓ ของทองคำที่ซื้อโดยธนาคารกลางเมื่อปีที่แล้วไม่ได้ถูกรายงานต่อสาธารณะ และไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ นั่นหมายถึงว่า มีการซุ่มตุนทองคำมากกว่าตัวเลขที่สภาทองคำโลกรายงานอีกสองเท่าเพียงแต่ไม่ปรากฎข้อมูลอย่างเป็นทางการ
นอกจากความต้องการถือทองคำซึ่งเป็นโภคภัณฑ์ที่ปลอดภัยหนีดอลลาร์ที่ปั่นป่วนจากสงครามเศรษฐกิจ ระหว่างมหาอำนาจเดี่ยวกับโลกหลายขั้วแล้ว การหลีกหนีจากกลไกการเงินการธนาคารของดอลลาร์ ได้เกิดขึ้นและเป็นไปในอัตราเร่งกว่าที่นักวิเคราะห์และสหรัฐฯประเมินไว้
การเคลื่อนไหวของประเทศในอเมริกาใต้เพื่อสร้างสกุลเงินเดียว แม้จะไม่เป็นจุดสิ้นสุดของเงินดอลลาร์ แต่จะเป็นการบ่อนทำลายสถานะของมันในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก การครอบงำของเงินดอลลาร์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัสเซียและจีนต่างหลีกเลี่ยงการค้าผ่านดอลลาร์ ต่อมาเมื่อกลุ่มประเทศอ่าว ตอบรับการใช้เงินหยวนจีนซื้อขายน้ำมันโดยเทดอลลาร์สั่นสะเทือนสถานภาพเปโตรดอลลาร์อย่างไม่เคยมีใครคาดว่าจะเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้กลุ่มBRICSที่ประกอบด้วยสมาชิกหลัก ๕ ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รัสเซีย-จีน-อินเดีย-บราซิล-อาฟริกาใต้ ได้สร้างระบบการเงินการธนาคารร่วมแบบใหม่ มีธนาคารร่วมที่เป็นทางเลือกแก่สมาชิกและผู้สนใจ ยิ่งขย่มบัลลังดอลลาร์ให้สะเทือนหนักเข้าไปอีก
และที่เพิกเฉยไม่ได้คือแนวโน้มการเกิดสงครามโลกครั้งใหม่ ลามจากสงครามตัวแทนในยูเครนขยายสู่ยุโรป จุดวาบไฟในตะวันออกกลางและเอเชีย-แปซิฟิกที่สหรัฐฯกำลังปั่นกระแสขัดแย้งอยู่ในเวลานี้ก็อาจปะทุเป็นสงครามพื้นที่ได้ทุกขณะ สถานการณ์เช่นนี้ นักการเงินและนายทุนทั้งหลายจมูกไวกว่าใครและรู้ว่าอะไรมั่นคงปลอดภัยเมื่อเกิดสงครามทำลายล้าง!??