คิมทำโลกฮือฮาอีกครั้ง เมื่อทางการเกาหลีเหนือออกมาตอบโต้ และท้าทายสหรัฐกับบริวารว่า เปียงยางสามารถรับมือกับภัยคุกคามทางทหารของสหรัฐฯ ด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้ ไม่ใช่สหรัฐและพวกจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ฝ่ายเดียว ขณะที่สหรัฐฯได้บ่ายหน้ามากระตุ้นสงครามในเอเชีย เริ่มปีด้วยการเยือนเกาหลีใต้ ขยับปากขู่จะใช้นิวเคลียร์ปกป้องเกาหลีใต้ ทำโซลดี๊ด๊าประกาศจะซ้อมยิงมิสไซล์ขู่เปียงยาวศุกร์นี้ด้วย ส่อเค้าจุดวาบไฟคาบสมุทรเกาหลีจะกลายเป็นยูเครน ๒ ตามวาระวอชิงตันหรือไม่ ไม่นานคงได้รู้??
วันที่ ๒ ก.พ.๒๕๖๖ สำนักข่าวทาซซ์และสื่อเกาหลีเหนือรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ระบุว่า เกาหลีเหนือสามารถรับมือกับภัยคุกคามและสถานการณ์ทางทหารของสหรัฐฯ ด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์
สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือระบุในแถลงการณ์ว่า “สถานการณ์ทางทหารและการเมืองบนคาบสมุทรเกาหลีและในภูมิภาคโดยรวม ถึงจุดสูงสุดเนื่องจากการกระทำในนามของสหรัฐฯ และพันธมิตร” เผยแพร่ในวันนี้(พฤหัสบดี:02/02/23)
“เกาหลีเหนือสามารถรับมือกับภัยคุกคามและสถานการณ์ทางทหารของสหรัฐฯ ด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์ เปียงยางจะใช้ “มาตรการที่เข้มงวดที่สุด” เพื่อตอบโต้ความพยายามทางทหารใดๆ ของสหรัฐฯโดยยึดตามหลักการของประเทศ”
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน เยือนเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ โดยเขาระบุว่าวอชิงตันมุ่งมั่นที่จะใช้การป้องปรามแบบดั้งเดิมและนิวเคลียร์เพื่อปกป้องเกาหลีใต้ ตามแถลงการณ์ร่วมของหัวหน้าฝ่ายกลาโหมของทั้งสองประเทศ พวกเขา “ให้คำมั่นที่จะขยายและสนับสนุนระดับและขนาดของการฝึกผสมและการฝึกร่วมกันในปีนี้”
ออสติน กล่าวว่า “ต้องขอบคุณกองกำลังทหารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ บนคาบสมุทรเท่านั้นที่รักษาสันติภาพไว้ที่นั่นมาเป็นเวลาเจ็ดทศวรรษ วอชิงตันและโซลกำลัง ขยายขอบเขตและขนาดของการฝึกซ้อมร่วมของเรา เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกันและความพร้อมที่จะ ‘Fight Tonight’ หากจำเป็น ”
เมื่อพูดถึง “ ศัตรูและคู่แข่ง ” ในภูมิภาค ออสตินเตือนว่า “ หากพวกเขาท้าทายเราคนใดคนหนึ่ง พวกเขากำลังท้าทายพันธมิตรโดยรวม ”
สำนักข่าวยอนฮับ (Yonhap) ของเกาหลีใต้อ้างคำแถลงของกระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือว่า “นี่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์ที่เป็นอันตรายของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้คาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นคลังแสงสงครามขนาดใหญ่และเขตสงครามที่สำคัญยิ่งขึ้น” “หากสหรัฐฯ ยังคงนำทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์เข้าสู่คาบสมุทรเกาหลีและบริเวณโดยรอบ เกาหลีเหนือจะแสดงกิจกรรมที่ขัดขวางอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นโดยไม่ขาดตกบกพร่องตามธรรมชาติ”
ในการแถลงข่าวร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ลี จอง-ซ็อป (South Korean Minister of National Defense Lee Jong-sup) เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ออสตินระบุว่ามีทหารสหรัฐฯ ๒๘,๕๐๐ นายประจำการอยู่ในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทหารสหรัฐฯในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด ทั้งสองประเทศมีความคืบหน้าอย่างมากในการส่งเสริมความร่วมมือในปีที่ผ่านมา หัวหน้าเพนตากอนกล่าว พร้อมเสริมว่าสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้เพิ่มมาตรการตอบโต้ท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนืออย่างเต็มที่

ในเวลาเดียวกันสหรัฐฯได้เดินหน้าเร่งกระตุ้นขัดแย้งแบบเต็มพิกัด จัดเครื่องบินทิ้งระเบิด-ฝูงบินล่องหนขนมาขู่เปียงยางซ้อมรบร่วมโซลอวดโอ้เตียมเหยียด แบบนี้จะให้เกาหลีเหนือนิ่งเฉยคงเป็นไปไม่ได้ พฤติกรรมของสหรัฐฯและบริวารได้กระตุ้นให้เปียงยางออกมาตอบโต้ว่า สหรัฐฯและพันธมิตรกำลังผลักคาบสมุุทรเกาหลีเข้าสู่สถานการณ์ที่ล่อแหลม ทางเปียงยางจะตอบโต้อย่างสาสม
กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ยืนยันว่า “การซ้อมรบทางอากาศครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของสหรัฐฯ และศักยภาพในการมอบการป้องปรามที่เข้มแข็ง น่าเชื่อถือและครอบคลุมต่อภัยคุกคามทางนิวเคลียร์และขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือ” “การป้องปรามอย่างครอบคลุม เป็นการบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการใช้ทรัพย์สินทางทหารเต็มพิกัด ในนั้นรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อปกป้องเกาหลีใต้”
โซลกระตือรือร้นในความพยายามโน้มน้าวใจประชาชนที่มีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เชื่อมั่นคำสัญญาที่เข้มแข็งของสหรัฐฯ ในด้านการป้องกันประเทศ หลังจากขวบปีที่ผ่านมาเกาหลีเหนือได้ประกาศตนเองในฐานะมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่ไม่อาจหันหลังกลับได้ และทำการทดสอบขีปนาวุธชั้นสูงแทบทุกเดือน
นอกจากนี้ยังประกาศเตรียมทดสอบยิงจรวด ‘กำลังสูง’ ฮยอนมู-๕ จะในวันศุกร์นี้ อีกด้วย มีจุดประสงค์เพื่อขัดขวางโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
การทดสอบยิงขีปนาวุธห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว ๑๕๐ กิโลเมตร จรวดมีพิสัยทำการอย่างน้อย ๓,๐๐๐ กิโลเมตร เป็นระยะทางปกติของขีปนาวุธพิสัยกลาง อย่างไรก็ตาม กองทัพเกาหลียังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่แน่นอน
หากฮยอนมู-๕ เข้าประจำการ คาดว่าจะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของแผนการลงโทษและการตอบโต้ครั้งใหญ่ของเกาหลีใต้ หากความขัดแย้งทางทหารปะทุขึ้นระหว่างสองรัฐ
ในช่วงปี ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ทำการยิงขีปนาวุธเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงการทดสอบขีปนาวุธหลายครั้ง โดยเรียกว่าเป็นการตอบโต้ต่อเกมสงครามระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีใต้ที่จัดบนคาบสมุทรเป็นประจำ ซึ่งเกาหลี เหนือมองว่า เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ