จากที่มีรายงานเผยแพร่ไปทั่วโลกกับเหตุการณ์เผาคัมภีร์ทางศาสนาอิสลาม ที่กำลังกลายเป็นประเด็นลุกลามบานปลาย มีการรวมตัวประท้วงหน้าสถานทูตสวีเดนนั้น
ล่าสุดวันนี้ 02 กุมภาพันธ์ 2566 blockdit World Update โพสต์ถึงสถานการณ์ในกรณีดังไว้อย่างน่าชวนติดตามว่า “เมื่อก่อนที่สวีเดนวางตัวเป็นกลางระหว่างประเทศนั้น ประชาชนมีชีวิตสงบสุข ค่าครองชีพเหมาะสม แต่ภายหลังคว่ำบาตรรัสเซีย และสมัครเข้ากลุ่ม NATO ก็งานเข้าเดือดร้อนไม่หยุด
จากข้อพิพาทกับตุรกี กลายเป็นวิวาทระหว่างรัฐ เมื่อนักการเมืองสวีเดน จัดอีเว้นท์เผาคัมภีร์ทางศาสนาอิสลาม หน้าสถานทูตตุรกีโดยการสนับสนุนอนุญาตจากรัฐบาล ขู่ว่าจะเผาทุกวัน จนกว่าตุรกี จะยอมรับสวีเดนเข้า NATO
ผลที่ตามมาคือ ชาวมุสลิมทั่วโลก 1,800 ล้าน การประกาศเป็นปฏิปักษ์ กับสวีเดน มีการก่อม็อบประท้วงที่หน้าสถานทูตสวีเดน ทั่วโลก ในชาติอ่าวอาหรับผู้ครอบครองพลังงานโลกกลุ่ม Oplec นำโดยซาอุดิอาระเบีย , คูเวต ฯลฯ
ออกแถลงการณ์ประนามสวีเดนอย่างรุนแรงโดยคูเวต ขอให้คว่ำบาตรไม่ส่งพลังงานให้สวีเดน ม็อบลุกลามไปถึงจอร์แดน ชาติอาหรับ ยาวมาถึงอินโดนีเซีย ชาวมุสลิมต่างมีความรู้สึกว่าสวีเดนเป็นศัตรูกับตน ย่อมทำให้พลเมืองสวีเดนไม่ปลอดภัย และเสี่ยงถูกโจมตีเมื่ออยู่ต่างประเทศ
นอกจากปัญหาใหญ่การดูหมิ่นศาสนาความเชื่อแล้ว เมื่อสวีเดนคว่ำบาตรรัสเซีย ก็ย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เดือน ธันวาคม 2565 อัตราเงินเฟ้อสวีเดนเพิ่มขึ้นเป็น 12.3% สูงที่สุดในรอบ 31 ปี อัตราดอกเบี้ยก็พุ่งสูงขึ้นตามไป ชาวสวีเดน มีการบริโภคที่หดตัว และฉุดเศรษฐกิจของประเทศให้ถดถอยทรุดลงไปอีก ปีนี้ 2566 คาดว่าอัตราเติบโต GDP จะเหลือแค่ 0.6% เท่านั้น ย่ำแย่สุดๆ
ผลกระทบนี้ ทำให้หนี้สินของชาวสวีเดนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อ่อนแอที่สุดในบรรดา 48 ประเทศเมื่อเปรียบเทียบกันในยุโรป หนี้รวมจำนวนมหาศาลของชาวสวีเดน ต่อสำนักงานบังคับคดีแห่งชาติเพิ่มสูงขึ้นในปีที่ผ่านมาสูงเป็นประวัติการณ์
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จำนวนหนี้ทั้งหมดเกินเกณฑ์ 9,600 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากถึง 7.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า บ่งชี้ถึงอัตราหนี้ทวีคูณขึ้น 1.9 ล้านดอลลาร์/วัน
ส่วนใหญ่เป็นหนี้รายบุคคลผู้บริโภค เช่น หนี้เงินกู้เครดิตกับธนาคาร หนี้ค่าสมัครสมาชิกประเภทต่างๆ การบังคับคดีโดยกฎหมายจึงเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่มีหนี้อยู่แล้วก็สะสมหนี้สินเพิ่มมากขึ้นไปอีก
หนี้สินส่วนที่เพิ่มนี้ก็เกิดจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากพลังงานแพงนั่นเอง ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุดคือผู้ที่อ่อนแอทางการเงินอยู่แล้ว ผู้ด้อยโอกาสต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทำให้ไม่สามารถชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้
เกิดสังคมที่เหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม รวยกระจุก จนกระจาย ช่องว่างทางรายได้ในประเทศมีระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีอย่างไม่เคยพบมาก่อน ขืนสวีเดนยังดำเนินนโยบาย “ติดหล่มสงครามยูเครน ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน” กับชาติคุมพลังงานไปทั่วโลกแบบนี้มีแต่จะทรงกับทรุด
การฟ้องคดีบังคับยึดทรัพย์ การล้มละลายของบุคคล จะพุ่งสูงจนไม่มั่นต่อสถานะการเงินของชาติ สังคมจะเกิดอาชญากรรมด้วยกำลังความรุนแรงและใช้อาวุธมากขึ้น แก๊งอันธพาลจะคุกคามชีวิตคนปกติ
ผู้อพยพจะก่อปัญหาให้สังคมมากมาย ต่างชาติจะเข้ามาแทรกแซงผลักดันความขัดแย้งทางศาสนาให้ปะทุสู่ความรุนแรงสุดขั้วในกลุ่มหัวสุดโต่งเกิดจลาจลรุนแรงหนักกว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา นี่คือระเบิดนิวเคลียร์ทางสังคมที่สวีเดนจะต้องเผชิญนับแต่นี้ต่อไป
จากสังคมที่สงบ ร่ำรวย แค่ประกาศละทิ้งความเป็นกลางแค่ไม่ถึงปี สวีเดนกลายเป็นสังคมที่ขัดแย้งวุ่นวาย ไม่ปลอดภัย พลเมืองอุดมไปด้วยหนี้สินพอกพูน ความยากจนคืบคลานเข้ามาในบ้าน บิลหนี้สินสารพัดค้างชำระ อ่อนแอ ไม่มั่นคง หนี้ท่วมพลเมืองภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ทั้งที่สวีเดนเคยเป็นชาติระดับเกรด A แต่บัดนี้ไปคงไม่ใช่อีกแล้ว”