คต. เร่งลดอุปสรรค ดันการค้าข้ามแดน-ส่งออก ปี’66 ชี้บาทแข็งอาจส่งผลต่อการกำหนดเป้าหมายรายได้ ขณะที่ผลงานการค้าชายแดนและผ่านแดนของปี 2565 มีมูลค่าสูงรวมทั้งสิ้น 1,790,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.44% โดยเฉพาะการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศหลักเติบโตทุกตลาด ปี 2566 เตรียมเจรจาเร่งเปิดด่านเพิ่มโอกาสการค้าของไทย
วันที่ ๓๑ ม.ค.๒๕๖๖ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ(คต.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แผนงานในปี 2566 กรมคงให้ความสำคัญเรื่องการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิในการลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงต่าง ๆ เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้ง เดินหน้าผลักดันการค้าชายแดน-ผ่านแดนและการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง เป็นต้น เพื่อให้มูลค่าการค้าของไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงติดตามความคืบหน้าการใช้มาตรการทางการค้าของประเทศต่าง ๆ
ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2566 มีความเคลื่อนไหวด้านการใช้สิทธิในการลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีและมาตรการทางการค้า ดังนี้
- การใช้สิทธิลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) จำนวน 12 ฉบับ จากความตกลงที่ไทยมีอยู่ 14 ฉบับ (ไม่รวมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – ฮ่องกง ที่ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ในทุกรายการสินค้า และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย – นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ใช้ระบบการรับรองตนเองของผู้ส่งออก โดยปี 2565 มีมูลค่ารวม 84,633.16 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.90% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2564 และมีสัดส่วนการใช้สิทธิ 82.11% ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นในกรอบความตกลงต่างๆ ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน ทุเรียนสด และเนื้อไก่และเครื่องในไก่ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย เป็นต้น
2.กรอบความตกลงที่มีการใช้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. อาเซียน ยังคงครองแชมป์ โดยมีมูลค่า 30,793.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 17.17% 2. อาเซียน – จีน (ACFTA) มูลค่า 26,290.61 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.80% 3.ไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 6,723.08 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.47% 4. ไทย – ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 6,040.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวลงเล็กน้อยที่ 1.90% และ5. อาเซียน – อินเดีย (AIFTA) มูลค่า มูลค่า 5,723.83 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.76% นอกจากนี้ ยังมีการใช้สิทธิตามกรอบความตกลงอื่น ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน – เกาหลีใต้(AKFTA) มูลค่า 3,624.87 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.77% ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ส่งออกไปออสเตรเลีย มูลค่า 2,710.46 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.01% และความตกลงเขตการค้าเสรีไทย – ชิลี (TCFTA) มูลค่า 593.15 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.02%
สำหรับความตกลง RCEP ปี 2565 มีการส่งออกไป 8 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย และเวียดนาม มีมูลค่าการใช้สิทธิรวม 994.77 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP น้ำมันหล่อลื่น (เกาหลีใต้) ปลาทูน่ากระป๋อง ปลาสคิปแจ็ค และปลาโบนิโต ชนิดซาร์ดา (ญี่ปุ่น) มันสำปะหลังเส้น (จีน) เป็นต้น
- การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ที่ไทยได้รับสิทธิประโยชน์จาก สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช โดย 11 เดือนปี 2565 มีมูลค่ารวม 3,472.61 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2564 คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 54.85% โดยตลาดสหรัฐครองแชมป์ มีมูลค่าการใช้สิทธิ ถึง 3,200.09 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.18% สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 253.89 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.05% และนอร์เวย์ มูลค่า 15.31 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.87% ส่วนกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) มีมูลค่า 3.32 ล้านเหรียญสหรัฐ
สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP สูง ได้แก่ ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศอื่น ๆ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง กรดมะนาว หรือกรดซิทริก เลนส์แว่นตาทำจากวัสดุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แก้ว หีบเดินทางขนาดใหญ่ กระเป๋าใส่เสื้อผ้า หลอดหรือท่อทำด้วยทองแดงบริสุทธิ์ ไร้รอยต่อ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ระบบส่งกำลังอื่น ๆ ภายใต้พิกัด 8701 และ 8702-8705 และพลาสติกอื่น ๆ ตามลำดับ แม้ว่าโครงการ GSP สหรัฐฯได้สิ้นสุดอายุไปวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และขณะนี้สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการดำเนินขั้นตอนการต่ออายุโครงการ ส่งผลให้ผู้นำเข้าสินค้าที่เคยได้รับสิทธิ GSP สหรัฐ จะต้องชำระภาษีในอัตราปกติ (MFN rate) ไปจนกว่าโครงการจะได้รับการต่ออายุ แต่เพื่อรักษาสิทธิ ผู้นำเข้าสามารถยื่นขอใช้สิทธิ GSP ในการนำเข้าสินค้าได้ตามปกติ โดยที่ผ่านมาสหรัฐฯ ทำการคืนภาษีเมื่อโครงการฯ ได้รับการต่ออายุแล้ว”
- การส่งออกผ่านการค้าชายแดนและผ่านแดน ปี 2566 กรมร่วมกับภาคเอกชน ตั้งเป้าไว้ที่ 1,060,732 ล้านบาท หรือเพิ่ม 3% จากปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 1,029,837 ล้านบาท โดยแผนผลักดันได้แก่ 1.แก้ปัญหาการค้าชายแดนและผ่านแดนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผ่านการลงพื้นที่และติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด 2. จัดมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 3.บูรณาการร่วมกับจังหวัดชายแดนเพื่อผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนเพื่อการขนส่งสินค้าให้ครบทุกจุด โดยสถานะการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบัน ณ 25 มกราคม 2566 ฝั่งไทยเปิด 80 แห่ง จากรวม 97 แห่ง ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเปิด 72 แห่ง
- ด้านความคืบหน้ากรณีสหรัฐฯ เปิดไต่สวนมาตรการ AC (มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน) กับ 3 สินค้าไทย ได้แก่ 1.สินค้าเซลล์แสงอาทิตย์ ( CSPV) ที่ส่งออกจากมาเลเซีย ไทย เวียดนาม และกัมพูชา โดยกล่าวหาว่าสินค้า CSPV ที่ส่งออกจากไทย เป็นการนำชิ้นส่วนที่ผลิตจากจีนมาประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยกรมมีหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (DOC) เพื่อคัดค้านผลการไต่สวนชั้นต้น และจัดประชุมร่วมกับผู้ผลิต/ผู้ส่งออกไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับผลการไต่สวน ล่าสุดสหรัฐฯ จะเดินทางมาตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริง ณ สถานประกอบการที่ประเทศไทย ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และประกาศผลการไต่สวนชั้นที่สุด ภายใน26 เมษายนนี้ 2. สินค้า Aluminum Foil ที่ส่งออกจากไทยและเกาหลีใต้ 3.สินค้าลวดเย็บ ที่ส่งออกจากไทยและเวียดนาม กล่าวหาว่าสินค้า Aluminum Foil และสินค้าลวดเย็บที่ส่งออกจากไทย เป็นการนำชิ้นส่วนที่ผลิตจากจีนมาประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยกรมจัดประชุมร่วมกับผู้ผลิต/ผู้ส่งออกไทย เพื่อหารือและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้าร่วมกระบวนการไต่สวนของทั้ง 2 สินค้า และกรมเดินทางไปเยี่ยมชมกระบวนการผลิตสินค้าลวดเย็บ ณ สถานประกอบการ ล่าสุดสหรัฐอยู่ระหว่างการไต่สวนทั้ง 2 สินค้า คาดว่าจะประกาศผลชั้นต้น สินค้า Aluminum Foil ภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2566 และสินค้าลวดเย็บภายในเดือนพฤษภาคม 2566 และจะประกาศผลการไต่สวนชั้นที่สุด สินค้า Aluminum Foil ภายใน 18 กรกฎาคม 2566 และสินค้าลวดเย็บภายในเดือนตุลาคม 2566
6. เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการในการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ กรมจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “สอนใช้งานระบบ SMART C/O ส่วนงาน Front Office” ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้รับบริการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ระหว่าง 6 – 8 กุมภาพันธ์ 2566 ชั้น 8 กรมการค้าต่างประเทศ และจัดสัมมนา“เพิ่มขีดความสามารถการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง” ให้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการขึ้นทะเบียนและการส่งออกด้วยระบบ Self-Certification ภายใต้กรอบความตกลงต่างๆ การใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางการค้า ใน 22 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมจอมเทียน ปาล์ม บีช โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จังหวัดชลบุรี